’อังคณา‘ เผย 2 ปีหลังมีกฎหมาย รัฐทำแค่พยายามลบชื่อเงียบๆ ส่ง จนท.ไปขอร้องญาติให้ถอนเรื่องจาก UN – ยกกรณี ’ส่งกลับชาวอุยกูร์‘ ไม่ต่างจากขัด ม.13 ของ พ.ร.บ.อุ้มหาย ที่รัฐภาคภูมิใจ
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม เวลา 13.00 น. ที่ชั้น 3 Slowcombo (สโลว์คอมโบ) สามย่าน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จัดงาน ‘Echoes of Hope ให้กฎหมายทำงาน ให้ความยุติธรรมเป็นจริง: 2 ปี พ.ร.บ.ป้องกันทรมาน-อุ้มหาย’ เพื่อร่วมย้อนเส้นทางตลอด 2 ปี ที่ประเทศไทยมีกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทรมานและอุ้มหายฯ ทั้งบทเรียน เรื่องราว หลักการ และความทรงจำ
โดยภาพในงานนอกจากไฮไลต์มี 2 วงเสวนาแล้ว ยังมีกิจกรรมฉายหนังสั้น 2 เรื่อง ได้แก่ สุสานดวงดาว และ ร่างอันตรธาน รวมถึงการแสดง Performance Art จากกลุ่มลานยิ้มการละคร อีกด้วย
โดยในช่วงแรก มีการกล่าวปาฐกถา: “สถานการณ์การทรมานในประเทศไทย” โดยผู้แทนจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่สหประชาชาติ
จากนั้นเวลา 14.00 น. นางอังคณา นีละไพจิตร ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ในฐานะภรรยาของ นายสมชาย นีละไพจิตร อดีตทนายความที่ถูกอุ้มหาย กล่าวปาฐกถา สรุปภาพรวมข้อกังวลและพัฒนาการที่ดีต่อสถานการณ์การทรมาน ‘ประเทศไทย และเสียงจากญาติ เส้นทางการต่อสู้ ความคาดหวัง’
นางอังคณากล่าวถึงสิ่งที่เขียนไว้ใน มาตรา 10 ของ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ระบุถึงหน้าที่ของรัฐ ในการสืบสวน จนกว่าจะทราบที่อยู่ ชะตากรรม และผู้กระทำผิด ซึ่งในทางสากลการบังคับสูบหาย ถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่สุดของมนุษยชาติ เพราะไม่เพียงแค่การทำลายเหยื่อ ทำลายศพ แต่ยังทำให้คนที่เป็นเหยื่อ ‘ถูกทำลายอัตลักษณ์และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์’
จะสังเกตเห็นว่า เหยื่อหลายคนที้ถูกอุ้มหาย ถูกตีตราว่าเป็น ‘ทนายโจร เกี่ยวข้องกับการกกระทำผิด ค้ายา ทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม’ สิ่งเหล่านี้เกิดผลกระทบอย่างมากกับครอบครัว โดยเฉพาะเด็กๆ เพราะตอบไม่ได้ว่าพ่อเขาหายไปไหน ใครทำให้หายไป สิ่งเหล่านี้ส่งกระทบต่อ สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ของเหยื่อเป็นอย่างมาก
“ผู้หญิงจำนวนไม่น้อย ไม่สามารถเชื่อมโยงตัวเองกับสังคมได้ บอกไม่ได้ว่าเมื่อสามีหายไป เขาอยู่ในสถานะอะไร ? โสด หย่า หรือสามีตาย สิ่งเหล่านี้จะอยู่ติดตัวเขาไปตลอด” นางอังคณาเผย
นางอังคณากล่าวต่อว่า และถึงแม้วันนี้เราจะมีกฎหมาย พ.ร.บ.อุ้มหายฯ แต่รัฐยังไม่สามารถรับรองกับครอบครัวได้ว่าเขาเป็น บุคคลสูญหาย ต้องไปยื่นศาลแพ่ง แต่ก็ทำได้เพียงจัดการทรัพย์สิน เท่านั้น เหล่านี้เป็นอุปสรรคอย่างมากกับครอบครัว
“ในการสร้างทัศนคติเชิงลบ ดิฉันเชื่อว่าเหยื่อทุกครทราบดี ว่าการที่รัฐทำให้คนถูกมองไม่ดี จะได้ไม่รู้สึกผิดมากในการทำให้คนหายไป แต่รัฐไม่รู้ว่า สิ่งนี้ทำร้ายจิตใจครอบครัว โดยเฉพาะเด็กและผู้หญิงอย่างมาก ‘ต้องซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้าน’ คนหายไปทั้งคน พ่อหายไปทั้งคน แล้วอย่างนี้แม่จะเอาเงินที่ไหนจ่ายค่าเช่าบ้าน ลูกจะเอาเงินที่ไหนไปโรงเรียน”
นางอังคณากล่าวต่อว่า การบังคับสูญหาย จึงไม่ใช่แค่การพรากใครบางคนไปตลอดกาล แต่ทำให้คนที่ยังมีชีวิต ต้องเผชิญกับความทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“การค้นหาความจริงเท่านั้น เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง การสร้างทัศนคติที่ดี ถือเป็นการเยียวยาอย่างหนึ่ง ที่จะกอบกู้ศักดิ์ศรีของครอบครัวให้กลับคืนมา”
นางอังคณากล่าวว่า ประเทศไทยมี พ.ร.บ.อุ้มหายฯ และยังให้สัตยาบัน ในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วย การคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ ของสหประชาชาติ (ICPPED) ด้วย แต่ข้อท้าทายคือจะคืนความเป็นธรรม ให้กับครอบครัวอย่างไร ?
“สำหรับดิฉัน 2 ปีที่ผ่านมา ของการบังคับใช้กฎหมาย ไม่มีข่าวคราวจากหน่วยงานใดใดในการตามหาคนหาย ไม่เคยมีคำมั่นสัญญา ไม่ให้ความหวัง ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการอุ้มหาย ก็ยังคงลอยนวล และมีตำแหน่งหน้าที่การงานดี ออกทีวีไม่เว้นแต่ละวัน”
”ในขณะที่ครอบครัวที่ยังมีชีวิตอยู่ เราต้องถูกทำให้หวาดหลัว ถูกผลักออกจากระบวนการ เสียงไม่เคยถูกนับในกรรมการชุดต่างๆ ที่จะค้นหาความจริง“
“วันนี้ หน่วยงานของรัฐภาคภูมิใจกับการมี พ.ร.บ.
อุ้มหาย แต่มีสิ่งหนึ่งที่รัฐทำอยู่เงียบๆ คือ พยายาม ‘ไปขอร้องครอบครัวให้ถอนเรื่องออกจากสหประชาชาติ’ ตอนนี้เรามีกรณีคนหายที่สหประชาชาติ บันทึกไว้ 77 กรณี รัฐบาลไทยพยายามมาตลอดที่จะให้ สหประชาชาติ ลบชื่อของเหยื่อ เพื่อให้จำนวนคนหายในไทยลดลง” นางอังคณากล่าว และว่า
ไม่กี่วันนี้ก็ได้รับข้อมูลจากญาติๆ อย่างน้อย 15 ครอบครัว ที่ถูกเจ้าหน้าที่ไปขอร้อง ให้ถอนเรื่องจากสหประชาชาติ
”ถามว่าทำไปทำไม ดีเอสไอไม่มีงานทำหรือ หรืออยากจะถอนออกให้หมด แต่อย่าลืมว่าคนหายทุกคน ‘พวกเขามีใบหน้า’ เหยื่อเองก็มีใบหน้า คุณอาจจะลบชื่อเขาได้ แต่ไม่สามารถลบใบหน้าเขาออกไปจาก ‘ประวัติศาสตร์ อาชญากรรมจากรัฐ’ ได้“
นางอังคณายังกล่าวถึง กรณี ผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ ที่ถูกส่งตัวกลับไปยังประเทศจีน โดยชี้ว่ากรณีไม่ต่างกันกับการผลักดันไปสู่อันตราย ใน ม.13 ของ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ
“รัฐไม่เคยเกรงกลัว ในการส่งผู้ลี้ภัยกลับประเทศต้นทาง ทั้งๆ ที่มีเสียงเรียกร้องคัดค้านมาโดยตลอด ขณะที่นายกฯ พูดว่า ‘เขาไปโดยสมัครใจ’ ดิฉันก็อยากท้าทายว่า นายกฯ ไม่เคยไปเกาะลูกกรงคุยกับคนกลุ่มนี้ แล้วรู้ได้อย่างไร ? นอกจากไม่ให้ความยุติธรรมและปฏิบัติตามกฎหมาย ยังฉ้อฉลให้ข้อมูลที่ไม่จริงต่อสังคม สิ่งเหล่านี้เป็นความผิดพลาด และบกพร่องอย่างมากของรัฐ”
นางอังคณาเผยด้วยว่า ส่วนตัว 2 ปีที่ผ่านมา มีแต่ความว่างเปล่า มีแต่ตั้งคำถามว่าทำไมรัฐถึงไม่ทำหน้าที่ ทำไมครอบครัวที่ต้องเผชิญกับความหวาดกลัว การสอดแนม ต้องมาพูดเรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีกฎหมายแล้วก็ไม่ทำ ทำแค่ ‘พยายามลบชื่อออก’
ในฐานะประธาน กมธ.พัฒนาการเมืองฯ ดิฉันได้ส่งหนังสือไปยังกระทรวงยุติธรรม ในเรื่อง ผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ ได้รับคำตอบเป็นเอกสาร หน่วยงานที่รับผิดชอบ คณะกรรมตาม พ.ร.บ. ได้เข้าไปตรวจเยี่ยมห้องกัก และพบว่า ‘ห้องกักเป็นไปตามมาตรฐานสากล’
“ในฐานะของคนที่เข้าห้องกักบ่อย อยากถามว่า มาตรฐานอะไร มาตรฐานตามข้อกำหนดกรุงเทพฯ ในการดูแลผู้ต้องขังหญิง หรือมาตรฐาน ตามข้อกำหนดแมนเดลา (Mandela Rules) ในการดูแลผู้ต้องขังทั้งหมด การปกปิดความจริงไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร
สิ่งสุดท้ายที่อยากเน้นย้ำ คือ ‘สิทธิในการรักษาความทรงจำของเหยื่อ’ หลายคนพยายามทำให้เขาลืม ขัดขวาง สอดแนม ไม่ให้มีการจัดงานรำลึก เป็นการพยายามทำลายความทรงจำของเหยื่อ ลูกๆ ของดิฉัน สิ่งพวกเขาพูดอยู่เสมอ สิ่งที่กลัวที่สุดคือ ‘กลัวจะลืมพ่อ’
ส่วนตัวเชื่อมั่นว่า ในการทำงานด้านการบังคับสูบหาย การต่อสู้ของครอบครัว จะตระหนักถึงคุณค่าที่ไม่มีใครพรากไปได้ และจะนำมาซึ่งการปฏิรูป แต่ทำการนำกฎหมายไปปฏิบัติ เป็นเรื่องสำคัญมากกว่า
“ดิฉันเชื่อว่าด้วยการต่อสู้ของผู้หญิง เด็กๆ และครอบครัว วันหนึ่งความจริงจะปรากฏ เจ้าหน้าที่ที่ละเมิด จะไม่มีที่อยู่ วันหนึ่งดิฉันอาจจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว แต่ยังเชื่อว่าคนรุ่นต่อๆ ไป จะยัง ‘พูดถึง จดจำ’ ใบหน้าของพวกเขา และพยายามทำความจริงให้ปรากฏ การนำคนผิดมาลงโทษ จะคืนความเป็นธรรม และยุติการบังคับสูญหาย ในสังคมไทยอย่างยั่งยืน” นางอังคณากล่าวทิ้งท้าย