วิเคราะห์ชี้ ซีนดรามาเดือด ‘ทรัมป์-เซเลนสกี’ ส่อเค้าวิกฤตนาโต
มีบทวิเคราะห์ของสำนักข่าวบีบีซีต่อฉากดราม่าสุดเดือดของการโต้คารมใส่กันกันอย่างเผ็ดร้อนระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา กับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ที่เกิดขึ้นต่อหน้ากล้องและกลุ่มผู้สื่อข่าวที่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมสังเกตการณ์ในขณะที่ผู้นำทั้งสองลงนั่งเจรจาพูดคุยเพื่อทำข้อตกลงเรื่องแร่แรร์เอิร์ธ ที่ห้องทำงานรูปไข่ ภายในทำเนียบขาวของสหรัฐเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ จนเป็นผลให้การจะลงนามในข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์จากแหล่งแร่สำคัญดังกล่าวระหว่างยูเครนกับสหรัฐล่มลงไม่เป็นท่าและยังไม่รู้ว่าจะต่อติดได้อยู่หรือไม่
ความล้มเหลวของการพูดคุยดังกล่าวไม่เพียงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทรัมป์กับเซเลนสกีที่ย่ำแย่พอสมควรอยู่แล้วก่อนหน้า โดยที่ทรัมป์เคยจิกเรียกเซเลนสกีว่า “เผด็จการ” และพูดโกหกคำโตว่ายูเครนเป็นฝ่าย “เริ่มสงคราม” แต่ตอนนี้ยิ่งทำให้การเป็นพันธมิตรของสหรัฐกับยูเครนที่ได้รับการส่งเสริมโดยรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดนที่ผ่านมากำลังแตกสลายไม่มีชิ้นดี
ไม่เพียงเท่านั้นความล้มเหลวนี้ยังส่งสัญญาณให้เห็นวิกฤตครั้งใหญ่ที่ก่อเค้าลางขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างชาติสมาชิกยุโรปในองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ(นาโต) กับสหรัฐอเมริกา ที่เคยผนึกกำลังอย่างแข็งแกร่งในการยืนหยัดต่อสู้กับภัยท้าทายที่มีต่อเสถียรภาพความมั่นคงของชาติตะวันตก รวมถึงการท้าทายจากมหาอำนาจอย่างรัสเซีย ที่ทำสงครามรุกรานยูเครน ซึ่งนาโตมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของยุโรป
บทวิเคราะห์ของบีบีซีชี้ว่าจะมีข้อสงสัยและคำถามมากมายเกี่ยวกับความมุ่งมั่นของสหรัฐที่มีต่อความมั่นคงของยุโรปนอกจากเหนือยูเครน คำถามใหญ่ที่สุดนั่นก็คือ ทรัมป์จะรักษาสัญญาที่ประธานาธิบดีแฮร์รี ทรูแมน ของสหรัฐในขณะนั้นที่ให้ไว้ในปีค.ศ.1949 ว่าจะถือการโจมตีใดต่อพันธมิตรนาโตเท่ากับเป็นการโจมตีสหรัฐเอาไว้อยู่หรือไม่
ความกังวลนี้มีผลมาจากสิ่งที่ดูเหมือนว่าทรัมป์มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย โดยในขณะที่ทรัมป์กดดันยูเครนอย่างหนักในการทำข้อตกลง แต่กลับเสนอข้อผ่อนปรนใหญ่ให้กับปูติน บีบีซีชี้ว่าความมั่นคงของยูเครนกำลังเป็นรองอย่างมากและยุโรปเองก็กำลังกังวลว่าความมั่นคงของพวกเขาก็อาจตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
บีบีซีอ้างนักสังเกตการณ์รายหนึ่งมองว่าตอนนี้มีข้อสงสัยว่าว่าการโต้เถียงกันต่อหน้าสาธารณะ เป็นการโจมตีทางการเมืองที่ได้มีการวางแผนไว้หรือไม่ ทั้งนี้เพื่อบีบให้เซเลนสกีทำตามคำสั่งของสหรัฐ หรือไม่ก็เพื่อเร่งให้เกิดวิกฤตเพื่อที่พวกเขาจะสามารถกล่าวโทษเซเลนสกีสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
หากทรัมป์ทำตามหลังการเจรจาที่ล้มเหลวด้วยการหยุดให้ความช่วยเหลือทางทหาร ยูเครนก็จะสู้ต่อไป คำถามอยู่ที่ว่าจะเป็นการต่อสู้ที่มีประสิทธิภาพแค่ไหนและสู้ได้นานเท่าไร และความกดดันต่อพันธมิตรยุโรปของยูเครนก็จะเพิ่มมากขึ้นในการที่จะต้องรับภาระในส่วนที่ขาดหายไป
