กัณวีร์ เปิดจดหมายอีกฉบับ ครอบครัวชาวอุยกูร์ เผย 11 ปี แห่งความทุกข์ใจ และรอความเมตตา
วันที่ 1 มีนาคม นายกัณวีร์ สืบแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม โพสต์ข้อความ สืบเนื่องมาจากรัฐบาลไทยส่งตัว ชาวอุยกูร์ กลับประเทศจีน มีเนื้อหาต่อไปนี้
ขอเปิดจดหมายอีกฉบับ (พวกเพื่อนๆ ที่เป็นโคนัน ไปตามหาได้นะครับว่าต้นฉบับลายลักษณ์อักษรมันตวัดเขียนด้วยลายมือคนที่มาจากภูมิภาคใดและเขียนเมื่อใด แต่ถ้าหาไม่เจอไม่ต้องกังวล ผมเอาไปเปิดให้ช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจแน่ๆ !!) และผมยังอยากบอกความรู้สึกที่ยังคั่งค้างใจต่อการผลักดันผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับเมื่อ 26 ก.พ. ที่ผ่านมาด้วย
ผมจะไม่กังขาอะไรเลยหากชาวอุยกูร์กลับจีนไปแล้วได้อยู่กับครอบครัวตัวเองจริงๆ แต่ 11 ปีที่ผ่านมาภรรยาและลูกของเค้าหลายคนที่ถูกแยกครอบครัวไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ตุรกีและมีความปราถนาให้ผู้ต้องกักทั้งหมดมารวมครอบครัวด้วยกันที่ตุรกีนั้น ได้เผยหลักฐานจดหมายที่เคยส่งถึงอดีตนายกฯเศรษฐา
เห็นภาพที่ตัวแทนรัฐบาลไทยไปยิ้มแป้นแล้วบอกว่า ชาวอุยกูร์พบครอบครัวแล้วผมไม่กังขาหากทุกคนได้พบกับครอบครัวที่แท้จริงและได้อยู่อย่างปลอดภัยจริงๆ ตามที่ทำข่าวกันออกมา
แต่อยากจะบอกครับว่าจากข้อเท็จจริงตลอด 11 ปี ครอบครัวของผู้ชายชาวอุยกูร์ ทั้ง 109 คนที่ถูกส่งไปชุดแรก และ 40 คนที่ส่งไปชุดที่สอง รวม 149 คน พวกเขาเดินทางมาพร้อมกับครอบครัวและลูก บางคนมากับพ่อแม่และแม่ จากที่ผมพบในครั้งแรก และครอบครัวของทุกคนที่มาด้วยกันถูกแยกจากกันในปี 2558 ที่ได้ส่งผู้หญิงและเด็กจำนวน 173 คนไปตุรกีแล้วนะครับ !!
ขณะนั้นผมเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติหรือ UNHCR ที่ไปปฏิบัติภารกิจใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ในวันนั้น พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติในปัจจุบัน ที่ขณะนั้นเป็นผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 ได้โทรตามผมให้เข้าไปดูกลุ่มคนที่พบในคืนนั้น และเมื่อเข้าไปพบ ยังจำได้ว่าทุกคนอยู่ในสภาพที่อิดโรย แบ่งกันนั่ง ผู้ชาย ผู้หญิง เป็นภาพจำ เป็นสิ่งที่ไม่ลืม
“เราไม่สามารถบอกว่า เขามาจากอุยกูร์ ยังจำได้ ต้องคุยกันมีการต่อโทรศัพท์ ถามไปหลายประเทศ ให้คนที่เป็นล่ามในสำนักงาน UNHCR พูดภาษาของเขา สุดท้ายไปจบที่ตุรกี เขาพูดตุรกีและภาษาเตริ์ก ออกมาพวกเขาก็หัน คือเห็นปฏิกิริยาของเขา เป็นเสียงเพื่อนเขาประมาณนั้น ผมก็แจ้งไปที่ผู้แทนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยของไทย ประสานสถานทูตตุรกี มีคนที่เป็นตัวแปรสำคัญคือ เออร์กิน เข้ามากับสถานทูตตุรกี มาถึง ตม.6 ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไป มีผู้ชาย ผู้หญิง ร้องไห้ ไปกอดกัน และสื่อสารกับเราได้”
ผมยังจำได้ในวินาทีที่เห็นเจ้าหน้าที่จากตุรกีพวกเขาร้องไห้ และดีใจที่พบกับคนที่จะเข้าใจพวกเขา จนเขายอมรับว่าเป็นชาวอุยกูร์ เลยต้องลงทะเบียน ประสานงานสถานทูตตุรกีอย่างเร่งด่วนเพื่อให้ไปตั้งถิ่นฐานใหม่ แต่สุดท้ายก็หยุดไป เพราะมีการแทรกแซงจากจีน เราต้องหยุด ทั้งๆ ที่เราสามารถประสานเอาเครื่องบินจากตุรกีมารับอุยกูร์ 400 กว่าคน เพราะมีคนอุยกูร์ที่ ตม.สวนพลู อีก 200 กว่าคน กับที่สงขลากว่า 200 คน เขาพร้อมนำเครื่องบิน Take off จากกรุงอังการา ตอนนั้นทุกคนช่วยเหลือกัน ทั้งทาง ตม.6 และ พม.จังหวัดสงขลา อ.ซากี ก็ต้องช่วยกันมันเป็นภาพของการทำงานมนุษยธรรมจริงๆ
ผมจึงต้องติดตามเรื่องนี้ เพราะเหมือนงานผมยังไม่สำเร็จ เพราะหลังจากนั้นในปี 2558 ที่มีการส่งผู้หญิงและเด็ก 173 คนไปตุรกี และผู้ชาย 109 คน ไปจีน ผมย้ายไปทำงานประเทศอื่นๆ ผ่านไป 8 ปี พอกลับมาทำงานการเมืองที่ไทย ชาวอุยกูร์ก็ยังติดอยู่ห้องกักแบบกักลืม จึงตั้งใจว่าจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ ให้พวกเขาได้ไปพบครอบครัว เพราะ 5 คนเสียชีวิตไปโดยไม่ได้พบครอบครัว
หากเป็นคนทำงานด้านนี้จะมีความรู้และตระหนักดีครับว่าการทำงานด้านมนุษยธรรมมันต่อรองกันไม่ได้!! การที่จะแลก 173 คน ไปตุรกี แล้วส่ง 109 คน ไปจีน มันไม่มีหรอกครับในงานมนุษยธรรม เพราะเราต้องเอาคนบุคคลในความห่วงใยเป็นตัวตั้งก่อน โดยไม่สามารถไม่เอนเอียงใดๆ ได้ รวมทั้งต้องเป็นกลางและเราต้องมีอิสรภาพในการทำงาน ดังนั้น การต่อรองต้องไม่มี !!
ผมขอยืนยันว่าการทำงานด้านมนุษยธรรมต้องไม่ต่อรอง 40 คน นี้เป็นการตัดสินใจทางการเมืองที่ไม่มีการตัดสินใจบนหลักการมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน ผมรู้สึกแย่ตลอดเวลาที่ “รัฐ” ชอบหยิบใช้คำนิยามของงานมนุษยธรรม มาสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองว่าตัวเองทำหน้าที่ “ตามมาตรฐานสากล” เพราะทุกคนสมัครใจไปเอง !!
ขโมยใช้คำนิยามของมนุษยธรรมไปแล้ว แต่องค์ความรู้ไม่ถึง มันไม่มีศิลปะในการทำงานเลย
การทำงานครั้งนี้ที่ไม่มีการใช้ถุงดำคลุมหัว แต่ใช้เทปดำมาปิดรถตำรวจ ลองคิดดูนะครับถ้าเป็นเราอยู่ในห้องกัก 10 กว่าปี ถึงเวลาเอารถติดเทปดำ จับเรายัดในรถตอนตีสอง แล้วรีบๆ ทำเป็นปฏิบัติการเหมือนการทำงานผิดกฎหมาย มันจะต่างอะไรกับกรณีตากใบ !! ต่างอะไรกับขบวนการนำพานำคนไประเทศอื่นแล้วผิดกฏหมาย !! อย่ามาลดทอนและด้อยค่าการทำงานมนุษยธรรม รับไม่ได้จริง !!
ผมขอแชร์จดหมายอีกสักฉบับที่แปลเป็นภาษาไทยจากครอบครัวที่ถูกผลักพรากและต้องไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในตุรกีให้ทุกคนอ่านนะครับ
จดหมายฉบับนี้เขียนถึงนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อปีที่แล้ว แล้วก๊อบปี้ให้คุณอนุทินฯ คุณมาริษฯ คุณทวี ผบ.ตร. เลขา สมช. (คุณรอยฯ อดีต) และ ผบ.สตม. จะได้รู้กันว่าได้อ่านกันถ้วนทั่ว เดี๋ยวจะหาว่าไม่รู้กันอีก !!
เนื้อหาในจดหมายระบุว่า
“พวกเรารู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่งที่ท่านสามารถฟังความเจ็บปวดของพวกเรา ก่อนอื่นในนามของครอบครัวเพื่อน และคนที่เรารัก เราขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อรัฐบาลไทย ที่คนในสมาชิกครอบครัวของเราไม่มีทางเลือกนอกจากเข้ามาในประเทศไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว พวกเขาออกจากบ้านเกิดของเราพยายามเดินทางผ่านประเทศไทยเพื่อไปถึงที่ปลอดภัย เราเพียงหวังว่าเราจะได้กลับมาพบกันอีกครั้งและใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบในไม่ช้า
สามี พ่อ พี่ชาย น้องชาย ลูกชาย ลูกพี่ลูกน้อง หลานชาย และเพื่อนของเราได้ถูกกักตัวอยู่ที่ห้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ประเทศไทยมานานกว่า 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมาพวกเราไม่ได้ข่าวคราวหรือติดต่อกับพวกเขาเลย เราจะเจอพวกเขาได้เพียงแค่ในความฝันเท่านั้น ความฝันที่เหมือนจริงจนทำให้การตื่นมาเป็นความเจ็บปวดแสนสาหัส เราใช้ชีวิตเหมือนวิญญาณที่รอฟังข่าวอย่างใจจดใจจ่อ ขอให้พวกเขาถูกปล่อยตัวและกลับมาหาเรา
มันรู้สึกแตกสลายเพียงแค่คิดว่าพวกเขาไม่สามารถมองเห็นท้องฟ้าได้จากที่ที่เขาถูกกักขังไว้ เพียงแค่คิดว่า เราไม่สามารถรับรู้ว่าพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง เพียงแค่คิดว่าพวกเราไม่มีโอกาสที่จะเจอหน้า และโอบกอดกันได้อีกต่อไป ทำให้พวกเราใจสลาย พวกเราไม่ได้เจอหน้าพวกเขา ไม่สามารถได้ยินเสียงพวกเขา ไม่สามารถไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ หรือถามถึงความฝันของเขาในตลอดห้วง 10 ปีมานี้ ลูกๆ ของเราไม่รู้จักพวกเขา และเราก็ไม่รู้ว่าจะบอกลูกๆ ถึงเรื่องราวของพวกเขาว่าอย่างไร
ข่าวการเสียชีวิตของนาย Aziz Abdullah และนาย Mattohti Mattursun เมื่อปีที่แล้ว ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าพวกเราทุกคนได้รับหนังสือแจ้งการเสียชีวิตที่ทยอยเกิดขึ้นของสมาชิกในครอบครัวเรา เราไม่รู้ว่าคนที่เรารักจะเป็นรายต่อไปหรือไม่ เรามองเห็นน้ำตาและความทุกข์ทรมานของภรรยาม่ายและลูกๆ ของพวกเขา แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เรากลัว และรู้ลึกๆ อยู่ในใจว่าคนที่เรารักอาจเป็นรายต่อไปก็ได้วันนี้พวกเราเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยความหวังว่าท่านจะมีความเมตตากับพวกเรา ปล่อยคนที่เรารัก ให้พ้นจากการกักขัง และอนุญาตให้พวกเขามาอยู่กับพวกเราในประเทศที่สาม เราขอให้ท่านยุติการลงโทษ และการแยกจากครอบครัวที่เราต้องทนมากว่าสิบปี โปรดอนุญาตให้เราใช้ชีวิตที่สงบสุขและปกติกับคนที่เรารัก
ตลอดประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ มีทั้งเรื่องราวของความทุกข์ทรมานและเรื่องราวของความเมตตากรุณา ความกรุณาที่จะถูกจดจำลงในประวัติศาสตร์ เราขอร้องให้ท่านมีเมตตาต่อพวกเรา พวกเราจะเป็นคนกลุ่มหนึ่งในโลก ที่จะซาบซึ้งต่อและจดจำความเมตตากรุณาของท่านตลอดไป”
นี่คือหนังสือที่ภาคประชาสังคมได้รับมา เป็นความรู้สึกของคนที่ถูกแยกครอบครัว เป็นสิ่งสะท้อนที่ต้องการบริบทของความต้องการเมตตา แต่วันนี้เป็นสิ่งที่ตอบให้เห็นแล้วว่าไม่มีแม้กระทั่งความรู้สึกที่จะมอบความเมตตาให้ใครๆ ทั้งนั้น