ภรรยาร่ำไห้ ฝากจับตาคดี ‘พลทหารกิตติธร’ ทนายเผย 24 เคสใหม่ จนท.ใช้วิธี ‘เชิญกินกาแฟ’
แฟนสาวสะอื้นไห้ ฝากจับตาคดี ‘พลทหารกิตติธร’ กำลังจะตัดสิน จ่อถูกย้ายกลับศาลทหาร ทนายเผยมี 24 เคสใหม่ จนท.เปลี่ยนใช้วิธี ‘เชิญไปกินกาแฟ’ หลบกล้อง
เมื่อวันที่ 1 มีนาคม เวลา 13.00 น. ที่ชั้น 3 Slowcombo (สโลว์คอมโบ) สามย่าน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จัดงาน ‘Echoes of Hope ให้กฎหมายทำงาน ให้ความยุติธรรมเป็นจริง: 2 ปี พ.ร.บ.ป้องกันทรมาน-อุ้มหาย’ เพื่อร่วมย้อนเส้นทางตลอด 2 ปี ที่ประเทศไทยมีกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทรมานและอุ้มหายฯ ทั้งบทเรียน เรื่องราว หลักการ และความทรงจำ
โดยภาพในงานนอกจากไฮไลต์มี 2 วงเสวนาแล้ว ยังมีกิจกรรมฉายหนังสั้น 2 เรื่อง ได้แก่ สุสานดวงดาว และ ร่างอันตรธาน รวมถึงการแสดง Performance Art จากกลุ่มลานยิ้มการละคร อีกด้วย
บรรยากาศเวลา 16.30 น. เข้าสู่เสวนาช่วงที่ 2 ‘ครบรอบ 2 ปี พ.ร.บ.ทรมานฯ พัฒนาการ ปัญหา ข้อท้าทายและข้อเสนอแนะ’ โดย นางกัญญา ธีรวุฒิ มารดาของสยาม ธีรวุฒิ ผู้ถูกบังคับให้สูญหาย, นายสมชาย หอมลออ คณะกรรมการ พ.ร.บ., น.ส.แก้วกัญญา แซ่ลี ภรรยาของ พลทหารกิตติธร เวียงบรรพต, น.ส.พรพิมล มุกขุนทด ทนายความ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม และ น.ส.สุภัทรา นาคะผิว คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) ดำเนินรายการโดย ฐปณีย์ เอียดศรีไชย
ด้าน น.ส.แก้วกัญญา แซ่ลี ภรรยาของ พลทหารกิตติธร กล่าวว่า แม้เราไม่รู้จักกัน แต่ขอบคุณทุกคนมากที่มารับฟัง แฟนของตนเป็นคนอัธยาศัยดี คุยเก่งยิ้มเก่ง ก่อนหน้านี้ที่เรารู้จักกัน เขาไม่เคยแสดงความกลัวให้เห็น เมื่อเข้าไปเป็นทหาร ก็พยายามคิดว่าไปออกกำลังกาย 1 ปี คงไม่เป็นไร
“แต่พอได้เข้าไปอยู่ในนั้น หนูเข้าไปเยี่ยม เขาได้เห็นการกระทำของครูฝึก เกินกว่าที่จะทำกับคนๆ หนึ่ง เขากลัวอยากออกมา ถ้าสมมติว่าตอนนั้น หนูรู้ว่าเขาจะไม่ปลอดภัย เราจะไปร้องเรียน แจ้งกับใครได้บ้าง ถ้าเอาเขาออกมาตอนนั้น คงไม่ต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนั้น” น.ส.แก้วกัญญากล่าว ก่อนเริ่มน้ำตาคลอ
น.ส.แก้วกัญญากล่าวต่อว่า เพราะเป้าหมายในชีวิตของเขา อยากเปิดโรงเรียนสอนภาษา ตั้งใจ ช่วยคนที่อยากไปทำงานต่อเกาหลี ได้อย่างถูกกฎหมาย
“เขาก็เลยเข้าไปเป็นทหาร แต่เข้าต้องมาตาย กับเรื่องที่เขาไม่ได้ขอ ทางครอบครัวก็รับไม่ได้ สงสารเขามากๆ
ตอนเขาเสีย ก็ตั้งใจจะสู้ แต่ไม่รู้จะทำทางไหน โชคดีที่ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ยื่นมือเข้ามาช่วย จึงได้ไปยื่นกับทางอัยการ อัยการบอกว่าเป็นเคสแรกที่เกิดขึ้น จะใช้ พ.ร.บ.นี้ พยายามช่วยอย่างเต็มที่ ซึ่งอัยการก็ดี เขาเห็นใจเรา พาไปลงพื้นที่ดูในค่ายทหารด้วย ตอนนี้เรื่องดำเนินมาจนจะตัดสินแล้ว แต่สุดท้ายจะขอให้ย้ายไปศาลทหาร ทั้งที่ผ่านขั้นตอนสืบสวนหมดแล้ว”
“เหลือแค่ตัดสิน แต่ทางทหารยังไม่ยอม ทำเรื่องจะให้ย้ายไปศาลทหาร ตอนนี้เลยไม่รู้ว่า จะต้องย้ายเรื่องไปศาลทหารไหม ยังไงฝากทุกคนช่วยติดตามเควสนี้ด้วย” น.ส.แก้วกัญญากล่าวทั้ง
ด้าน น.ส.พรพิมล มุกขุนทด มูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวว่า เคสของสยามธีรวุฒิ เราได้ไปร้องแล้ว หลัง พ.ร.บ.บังคับใช้ ซึ่งได้รับหนังสือจากอัยการเรียบร้อยแล้ว ระบุว่า ยุติการสืบสวนในคดีนี้ เหตุเพราะ ‘ไม่มีข้อเท็จจริงเพียงพอ ยืนยันว่าผู้จับกุม เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ’
ส่วน กรณี พลทหารกิตติธร เสียชีวิตหลังเข้ารับการเกณฑ์ทหาร ที่ค่ายใน จ.เชียงราย เราได้ไปฟ้องศูนย์ฯ ที่เชียงรายเช่นกัน แต่ไม่เข้า ม.5 ของ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ทางอัยการจึงฟ้อง ม.6 กระทำย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จากข้อเท็จจริง
“เป็นเคสแรก ที่พนักงานอัยการ ทำงานอย่างแข็งขัน ลงไปค่าย เรียกพยานสอบทุกปาก นำมาสู่การฟ้องร้องที่ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง โดยหลังศาลรับฟ้อง นำไปสู่การสืบพยานครบทุกปาก
ระหว่างนั้นทหารพยายามยื่นคำร้อง ให้คดีไปสู่ศาลทหาร ยื่นครั้งแรก ส่งไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ปัดตก ทหารก็ยังยื่นอีก เพื่อให้วินิจฉัยเขตอำนาจศาล วันจันทร์นี้ จะไปรับฟังว่า จะมีความเห็น เรื่องเขตอำนาจศาล ตรงกันหรือไม่
“2ปีที่ผ่านมา หลายเรื่องส่งมาหาเรา เพื่อร้องเรียน ซึ่ง 2 ปีมีการร้องเรียนไปแล้ว 24 กรณี เคสที่ได้ขึ้นสู่ศาล คือ ‘คดีพลทหาร’ เพียงคดีเดียว
โดยมี 3 กรณีที่ยุติแล้ว คือเคสของ สยาม ธีรวุฒิ, สุรชัย แซ่ด่าน (ด่านวัฒนานุสรณ์) และ สหาย ภูชนะ (ชัชชาญ บุปผาวัลย์) เหตุที่ยุติ คือไม่สามารถระบุผู้กระทำการอุ้มได้ว่า เป็นฝีมือรัฐไทย
กรณี ‘ต้าร์ วันเฉลิม’ ยังไม่ได้รับแจ้งความคืบหน้าจากอัยการ 1 ปี 8 เดือนแล้ว ที่รอรายละเอียดการสืบสวน
นอกจากนี้ยังมี 2 กรณี คือเคส การห้ามผลักดันผู้ลี้ภัยการเมือง กลับยังประเทศต้นทาง เช่น เคสกัมพูชา ที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายย ลี้ภัยเข้ามาแล้วถูกตม. จับกุม
“เรากำลังจะบอกว่า เคสเหล่านี้ หากเจ้าหน้าที่ปฏิบัติ บังคับใช้จริง ก็ทำได้ และไม่ละเมิดสิทธิด้วย”
น.ส.พรพิมลกล่าวต่อว่า ปัญหาและข้อท้าทายสำหรับเรา ที่ได้ไปทดสอบระบบ ใช้งาน พ.ร.บ.นี้ พบข้อท้าทายเยอะพอสมควร โดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องการตีความตาม ม.3 ม.5 ม.6 แล ม.7
เช่น เรื่องการควบคุมตัว หลายกรณีเจ้าหน้าที่ใช้วิธี ‘เชิญไปกินกาแฟ’ ซึ่งก็จะไม่มีการบันทึกกล้อง หรือกรณี คุณสิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ที่จะไปบ้าน คุณทักษิณ แล้วถูกปิดล้อมตัวไว้ 2-3 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ไม่ไม่ใช่การควบคุมตัว ทั้งที่การกระทำลักษณะนั้น มันคือการจำกัดสิทธิเสรีภาพของเขาแล้ว ซึ่งยังคงพบเห็นตลอด 2 ปีที่ผ่านมา
“ที่ผ่านมา พ.ร.บ.อุ้มหาย เราเจออุปสรรคและปัญหาหลายกรณีมาก เรียกว่า ‘รายมาตราด้วยซ้ำ’ อย่างเคสคุณแก้วกัญญา ปัจจุบันเรายังคงถูกเจ้าหน้าที่ทหาร ประวิงเวลา ให้ยังไม่มีคำตัดสิน อยากให้ช่วยจับตา หากเคสทหาร ต้องกลับไปขึ้นสู่ศาลทหาร ต้องพิจารณาอีกครั้งหรือไม่ อีกทั้งญาติจะยื่นหลักฐานไม่ได้ เป็นปัญหาที่สำคัญอย่างมาก ในการบังคับใช้ พ.ร.บ.อุ้มหาย”