ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า หลังจากการประชุมระหว่างยูเครนและสหรัฐประสบความล้มเหลว ทำลายความหวังในการบรรลุข้อตกลงสันติภาพในสงครามยูเครน-รัสเซีย
ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า สภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันจันทร์ที่ 3 มีนาคม 2568 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (03/03) ที่ระดับ 34.21/23 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (28/02) ที่ระดับ 34.17/18 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
โดยดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์ก หลังจากการประชุมระหว่างประธานาธิบดีไวโลดิเมียร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประสบความล้มเหลว ซึ่งทำลายความหวังในการบรรลุข้อตกลงสันติภาพในสงครามยูเครน-รัสเซีย
อย่างไรก็ดี ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงในคืนวันศุกร์ (28/02) หลังจากข้อมูลเงินเฟ้อออกมาใกล้เคียงกับที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้ ขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลงโดยไม่คาดคิด โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป (Headline PCE) ปรับตัวขึ้น 2.5% ในเดือน ม.ค. เมื่อเทียบรายปี
สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 2.6% ในเดือน ธ.ค. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือน ม.ค. สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 0.3% ในเดือน ธ.ค. ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือน ม.ค. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 2.9% ในเดือน ธ.ค. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐานปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือน ม.ค. สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 0.2% ในเดือน ธ.ค.
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐยังเปิดเผยว่า การใช้จ่ายส่วนบุคคลของผู้บริโภคสหรัฐลดลง 0.2% ในเดือน ม.ค. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าเพิ่มขึ้น 0.2% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือน ธ.ค. ส่วนรายได้ส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือน ม.ค. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.4% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือน ธ.ค. โดยหลังจากการเปิดเผยตัวเลขดังกล่าว นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ โดยจะเกิดขึ้นในเดือน มิ.ย. และ ก.ย.
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 92.5% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือน มี.ค. นอกจากนี้ นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00.4.25% ในการประชุมเดือน มิ.ย. และจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือน ก.ย.
นอกจากนี้ สำหรับมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดานั้นกำลังกลายเป็นประเด็นที่ตลาดจับตาอย่างใกล้ชิด หลังจากโฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐ เปิดเผยกับสำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์เมื่อวันอาทิตย์ (02/03) ว่า อัตราภาษีนำเข้าที่จะเรียกเก็บจากเม็กซิโกและแคนาดาในวันอังคารนี้ (04/03) ยังคง “ไม่แน่นอน” และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ จะเป็นผู้กำหนดระดับของอัตราภาษีดังกล่าว
ทั้งนี้ นักลงทุนในตลาดการเงินมองว่า การแสดงความเห็นของ รมว.พาณิชย์สหรัฐ อาจหมายความว่าอัตราภาษีมีการเปลี่ยนแปลง โดยอาจจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 25% ตามที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ ลุตนิกยังส่งสัญญาณว่าทีมงานของ ปธน.ทรัมป์ ยังคงมีการหารือกันเกี่ยวกับการเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% ซึ่งจะมีผลบังคับในวันอังคาร (04/03) นี้
ด้านปัจจัยภายในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยภาวะเศรษฐกิจไทยในเดืนน ม.ค. 68 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (28/02) ว่าเศรษฐกิจไทยปรับตัวขึ้นจากเดือนก่อน ตามภาคการท่องเที่ยวที่ปรับดีขึ้นต่อเนื่องทั้งจำนวนและรายรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ด้านการบริโภคภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งได้รับผลดีจากมาตรการภาครัฐ สอดคล้องกับกิจกรรมการค้า การผลิตภาคอุตสาหกรรม และการลงทุนภาคเอกชน ประกอบกับการส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน
ทั้งนี้ในระหว่างวันค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 34.15-34.32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ 34.21/23 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโรเปิดตลาดเช้าวันนี้ (03/03) ที่ระดับ 1.0413/16 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (28/02) ที่ระดับ 1.0396/97 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (28/02) มีรายงานเปิดเผยว่า เศรษฐกิจฝรั่งเศสหดตัว 0.1% ในไตรมาสที่ 4/2567 ตรงตามตัวเลขประมาณการเบื้องต้น ทั้งนี้ สวนทางกับการขยายตัว 0.4% ในไตรมาส 3/2567 โดยการหดตัวครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาส 1/2566 โดยมีสาเหตุบางส่วนมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจหลังสิ้นสุดมหกรรมกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิกที่กรุงปารีส
และเมื่อเทียบเป็รายปี เศรษฐกิจฝรั่งเศสในไตรมาส 4/2567 ขยายตัวเพียง 0.6% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 0.7% และถือเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ช่วงเศรษฐกิจหดตัวในไตรมาส 4/2563 สำหรับตลอดทั้งปี 2567 GDP ฝรั่งเศสมีอัตราการเติบโตที่ 1.1% เท่ากับปี 2566 สำนักงานสถิติแห่งชาติของฝรั่งเศส (INSEE) เปิดเผยข้อมูลเบื้องต้น ว่าอัตราเงินเฟ้อฝรั่งเศสลดลงต่ำกว่า 1% ในเดือน ก.พ.เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี โดยอยู่ที่ 0.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่อัตราเงินเฟ้อต่ำกว่า 1% นับตั้งแต่เดือน ก.พ. 2564 และตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 1.2% ในเดือน ก.พ.
โดยการชะลอตัวของเงินเฟ้ออย่างชัดเจนนี้เกิดขึ้นหลังจากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 1.8% ในเดือน ม.ค. โดยมีสาเหตุหลักมาจากการลดลงอย่างรวดเร็วของราคาพลังงาน โดยเฉพาะค่าไฟที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งตรงกันข้ามกับการปรับตัวขึ้นอย่างมากในเดือน ก.พ. 2567 อีกทั้ง ราคาบริการสินค้าอุตสาหกรรม และยาสูบชะลอตัวลง ขณะที่ราคาอาหารปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย และเมื่อเทียบเป็นรายเดือน
ในขณะที่ ดัชนี HICP ทรงตัวในเดือน ก.พ. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือน ม.ค. โดยการฟื้นตัวของราคาสินค้าอุตสาหกรรมหลังช่วยลดราคาฤดูหนาวถูกหักล้างด้วยค่าไฟที่ลดลง โดยเฉพาะอัตราค่าไฟที่รัฐบาลควบคุม ซึ่งลดลงถึง 15% นอกจากนี้ ราคาอาหารลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบเป็นรายเดือน ในขณะที่ราคาบริการปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย ทั้งนี้ในระหว่างวันค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวกรอบระหว่าง 1.0380-1.0423 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.0416/17 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันนี้ (03/03) ที่ระดับ 150.59/61 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (28/2) ที่ระดับ 150.27/28 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ โดยผลสำรวจภาคเอกชนในวันนี้ (03.03) เปิดเผยว่า กิจกรรมการผลิตในโรงงานของญี่ปุ่นหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ในเดือน ก.พ. ท่ามกลางความกังวลเรื่องนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐ
โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของญี่ปุ่น au Jibun Bank ขยับขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 49.0 ในเดือน ก.พ. จาก 48.7 ในเดือน ม.ค. นับเป็นการหดตัวน้อยที่สุดในรอบ 3 เดือน และสูงกว่าตัวเลขประมาณการเบื้องต้นที่ 48.9 เล็กน้อย โดยข้อมูลบ่งชี้ว่า ผลผลิตหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 แม้จะชะลอตัวลงจากเดือน ม.ค. ขณะที่คำสั่งซื้อใหม่ยังคงต่ำกว่าระดับ 50.0 ตั้งแต่กลางปี 2566 ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นของลูกค้าที่อ่อนแอทั้งในและต่างประเทศ
นอกจากนี้ ผลสำรวจพบว่า ระดับความเชื่อมั่นของผู้ผลิตญี่ปุ่นต่อแนวโน้มธุรกิจปีหน้าลดลงอย่างมากจากเดือนก่อนหน้า โดยอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2563 เนื่องจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าประเทศคู่ค้าสำคัญ ได้สร้างความไมแน่นอนให้กับนักลงทุนและผู้กำหนดนโยบาย โดยสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
ด้านการจ้างงานพบว่าทรงตัวในเดือน ก.พ. เนื่องจากการเพิ่มพนักงานเพื่อเติมตำแหน่งว่างถูกหักล้างด้วยการไม่ทดแทนผู้ลาออกโดยสมัครใจและการเกษียณอายุ ขณะที่ราคาวัตถุดิบ ค่าแรง และสาธารณูปโภคที่สูงขึ้น รวมถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ส่งผลให้ต้นทุนปัจจัยการผลิตเพิ่มขึ้น กดดันให้ผู้ผลิตต้องปรับขึ้นราคาขายเร็วกว่าที่คาด
ทั้งนี้ในระหว่างวันค่าเงินเยนเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 149.92-151.02 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ 149.97/98 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในภาคการผลิตของสหรัฐ (03/03), รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของยูโรโซน (03/03), ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการของยูโรโซน (05/03), การจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่ประกาศของสหรัฐ (05/03), ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการของสหรัฐ (05/03), อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (06/03), รายงานจำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐ (06/03), ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ (07/03), อัตราการว่างงานของสหรัฐ (07/03), ค่าจ้างรายชั่วโมงของสหรัฐ (07/03)
สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -8.0/-78 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยงภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -3.1/-1.8 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ