จัดแข่งขัน F1 ที่เมืองไทย ฝันไกลหรือใกล้ ในยุครัฐบาลเพื่อไทย
treenarath_ March 04, 2025 04:44 PM

ย้อนไทม์ไลน์แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วยการเล็งเป็นเจ้าภาพแข่งขันรถยนต์ระดับโลก F1 เป็นไปได้หรือไม่ ในยุครัฐบาลเพื่อไทย ตั้งแต่สมัยเศรษฐา ทวีสิน มาถึงแพทองธาร ชินวัตร

ประเด็นร้อนการแข่งขันรถระดับโลกอย่าง Moto GP 2025 ที่เพิ่งแล้วเสร็จไปเมื่อวันที่ 2 มีนาคม ที่ผ่านมา กับการแข่งขัน Formula 1 (F1) กลายมาเป็นที่พูดถึงและจับตามองอย่างมาก โดยเฉพาะการเพ่งเล็งไปที่ดราม่าทางการเมืองของระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล

ทว่าสิ่งที่น่าสนใจไปกว่าการโต้ตอบกันไปมา คือ การจัดการแข่งขันรถยนต์ระดับโลกที่รัฐบาลเพื่อไทยให้ความสำคัญและต้องการให้เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยของนายเศรษฐา ทวีสิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ประชาชาติธุรกิจ พาย้อนไทม์ไลน์การใช้พื้นที่ในประเทศไทยจัดสนามแข่งขัน F1 เป็นไปได้หรือไม่ ?

F1 มีจุดเริ่มต้นมาจากต้นปี 1900 การแข่งขันรถยนต์ได้รับความนิยมในยุโรป โดยเอฟวันที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน ก่อตั้งโดยเบอร์นี เอคเคิลสโตน มหาเศรษฐีชาวอังกฤษ ดำรงตำแหน่งซีอีโอมาเป็นเวลา 40 ปี เขาทำให้บริษัทเติบโตจนมีผลประกอบการ 1.9 พันล้านดอลลาร์

แล้วการแข่งขันนี้ทำเงินได้อย่างไร ?

ปี 2022 ฟอร์มูล่าวันทำเงินได้ทั้งหมด 2.57 พันล้านเหรียญสหรัฐ  โดยได้รับแรงหนุนจากจำนวนผู้เข้าชมสูงสุดเป็นประวัติการณ์และจำนวนผู้ชมทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น ซึ่งรายได้ทั้งหมดมาจากการขายลิขสิทธิ์ในการออกอากาศรายการกรังปรีซ์แก่บริษัทสื่อท้องถิ่นแต่ละประเทศ, สปอนเซอร์และการลงทุนจากผู้ผลิตยานยนต์, ส่วนแบ่งจากการขายตั๋ว, ค่าธรรมเนียมของสนามที่จัดการแข่งขัน และรายได้บนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอย่าง Netflix, F1 TV และอินสตาแกรม

มั่นใจไทยพร้อม เตรียมกวาดหมื่นล้าน

(เครดิตภาพ Thavisin)

ย้อนกลับไปในช่วงเดือนมีนาคม 2567 เศรษฐา ทวีสิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้หารือกับผู้บริหารบริษัท Formula One Group ประเด็นการจัด Formula 1 ในประเทศไทย โดยฝ่ายผู้จัดก็มองเห็นว่า ไทยเป็นประเทศที่เหมาะกับการขยายการแข่งขัน Formula 1 และจะรีบมาสำรวจสถานทีี่และเตรียมตัวกัน

หลังจากนั้นก็มีคำสั่งมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการสำรวจความเป็นไปได้ในการขยายการจัดแข่งรถ Formula 1

(เครดิตภาพ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี)

ต่อมาเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน เศรษฐาเข้าพบผู้บริหารสนามแข่งรถ Autodromo Enzo e Dino Ferrari และเสนอความต้องการจัดการแข่งขันขึ้นที่ประเทศไทย เพื่อสนับสนุนด้านการท่องเที่ยว นอกจากนั้นยังได้มีการเชิญผู้ได้รับการทำสัมปทานสนามบินอู่ตะเภามาหารือ โดยเล็งว่า หากมีการจัดการแข่งขันขึ้นก็จะใช้ที่ดินบริเวณอู่ตะเภาเป็นสนามแข่งขัน

เศรษฐามั่นใจว่า จะมีการแข่งขันเกิดขึ้นที่ประเทศไทยอย่างแน่นอน และไทยมีความพร้อมในการสร้างสนามแข่งอย่างเร็วที่สุดปี 2027 หรืออย่างช้าที่สุดปี 2028 โดยมีผู้สนับสนุนรายใหญ่ คือ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)

นอกจากนั้นเขายังกล่าวว่า นอกจากการแข่งขัน F1 แล้ว ก็จะได้มีการจัดการแข่งขัน F2 อีกด้วย ขณะเดียวกันยังไม่ได้ประเมินว่าหากมีการแข่งขันแล้วจะมีรายได้เข้าประเทศมากน้อยเพียงไหน ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ

แต่จากที่สังเกตเห็นในสนามตั๋วเข้าชมระดับวีไอพีต่อคนราคาประมาณ 5,000-8,000 เหรียญสหรัฐ และยังมีรายได้จากช่องทางอื่น ทั้งผู้สนับสนุนหรือการเปิดบูธขายอาหาร

ในมุมของเศรษฐกิจ ยังมีเรื่องของนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศ ทำให้เกิดการใช้จ่าย ทั้งค่าที่พัก ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ซึ่งรัฐบาลสามารถจัดกิจกรรมเสริมในช่วงเวลานั้นได้อีก รวมถึงการเดินทางไปท่องเที่ยวได้หลายจังหวัด และเชื่อว่าจะสร้างผลกระทบเชิงบวกในทางเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล

และมีการโพสต์ผ่านแพลตฟอร์ม X ของพรรคเพื่อไทย ระบุว่า หากมีการจัดการแข่งขันขึ้นในประเทศไทยจริง คาดว่าจะต้องใช้เวลาเตรียมตัว 3 ปี เล็งเป้าให้เกิดขึ้นได้ในปี 2570

จากการประเมินการจัดการแข่งขัน F1

  • จะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศได้ถึง​ 300,000 คน​
  • สร้างรายได้ให้ประเทศได้ถึง​ 12,000 ล้านบาท​
  • นำไปสู่การจัดเก็บรายได้เข้าสู่ระบบภาษีได้ถึง​ 280 ล้านบาท
  • จะสร้างการจ้างงานได้ถึง​ 6,000 กว่าตำแหน่งอีกด้วย

หากการจัดงานดังกล่าวเกิดขึ้นจริงและประสบผลสำเร็จ อาจนำไปสู่การจัดงานในประเทศไทยทุกปี (Annual​ Event) และจะทำให้ไทยเป็นหนึ่งในเจ้าภาพหลักของการจัดงานที่ใหญ่ระดับโลก (Worldclass Event) อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับหนึ่งในหัวข้อของวิสัยทัศน์ IGNITE TOURISM THAILAND 2025 หรือการเป็นศูนย์กลางอีเว้นท์ระดับโลกตลอดทั้งปี ผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Tourism Hub และเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก

เมกะโปรเจ็กต์ กระตุ้นเศรษฐกิจ

(เครดิตภาพ ingShin)

ซึ่งหลังจากเศรษฐาพ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทยก็ได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน และสานต่อความต้องการสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศเพื่อดึงเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดือนพฤศจิกายน 2567 นายกฯ ระบุผ่าน X ข้อความว่า

“รัฐบาลจะทำอย่างเต็มที่ในเรื่องนี้ เพราะนี่คือเมกะโปรเจกต์ที่จะดึงดูดทั้งการท่องเที่ยว สร้างบรรยากาศของกีฬา ไปสู่การขยายและปรับปรุงเมือง ทั้งหมดนี้เพื่อหารายได้ใหม่เข้าประเทศ กระตุ้นเศรษฐกิจและจะเป็นการโปรโมทประเทศไทยอย่างจริงจังครั้งสำคัญค่ะ”

ซึ่งหลังจากนั้นก็ยังไม่พบความคืบหน้าใด ๆ ล่าสุด การจัดการแข่งขัน F1 ที่ประเทศไทยถูกปลุกประเด็นกลับมาพูดถึงอีกครั้งจากกรณีที่ เนวิน ชิดชอบ ประธานสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต กล่าวถึงการที่รัฐบาลอาจไม่ต่อสัญญาการจัดการแข่งขันโมโตจีพีที่จะหมดสัญญาลงในปี 2026

ฐานแฟนคลับ F1 แคบ

เป็นเหตุให้ทั้งนายกฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ออกมาชี้แจงเรื่องนี้จ้าละหวั่น ก่อนเนวินจะเผยตัวเลขเศรษฐกิฐของการจัด Moto GP เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์-2 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ปรากฎว่า มีตัวเลขเงินสะพัดกว่า 5,043 ล้านบาท

และได้ให้สัมภาษณ์ถึงความสำเร็จของโมโตจีพีที่บุรีรัมย์ว่า เป็นความยั่งยืนในการส่งเสริมการท่องเที่ยว และเป็นสื่อทางอ้อมให้คนรู้จักประเทศไทย แต่การที่รัฐบาลเสนอไปจัด F1 นั้น เขามองว่าตลาดค่อนข้างแคบ แม้จะแฟนคลับจะเยอะแต่อารมณ์ร่วมต่างจากโมโตจีพี แบะในหลายประเทศก็เลิกจัด F1 แล้ว

“โมโตจีพีเป็นรถสองล้อ ทุกคนสัมผัสได้ สามารถเป็นเจ้าของได้ ใกล้ชิดได้ ซึมซับได้ แต่เอฟวันมันเหมือนหมามองเครื่องบิน ดูได้ครั้งเดียวก็พอแล้ว”

นอกจากนั้นยังมองว่า การที่รัฐจะลงทุนจัดที่กรุงเทพฯ นั้นมีข้อจำกัดมากมาย ตั้งแต่สถานที่ เงินลงทุน สนาม คนคุม และต้องสร้างอะไรมากมาย โดยไม่สามารถมั่นใจได้ว่าจะมีรายได้เข้ามาเท่าไหร่

ข้อมูลจาก businessmodelsinc, investopedia และ f1destinations

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.