ย้อนไทม์ไลน์แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วยการเล็งเป็นเจ้าภาพแข่งขันรถยนต์ระดับโลก F1 เป็นไปได้หรือไม่ ในยุครัฐบาลเพื่อไทย ตั้งแต่สมัยเศรษฐา ทวีสิน มาถึงแพทองธาร ชินวัตร
ประเด็นร้อนการแข่งขันรถระดับโลกอย่าง Moto GP 2025 ที่เพิ่งแล้วเสร็จไปเมื่อวันที่ 2 มีนาคม ที่ผ่านมา กับการแข่งขัน Formula 1 (F1) กลายมาเป็นที่พูดถึงและจับตามองอย่างมาก โดยเฉพาะการเพ่งเล็งไปที่ดราม่าทางการเมืองของระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล
ทว่าสิ่งที่น่าสนใจไปกว่าการโต้ตอบกันไปมา คือ การจัดการแข่งขันรถยนต์ระดับโลกที่รัฐบาลเพื่อไทยให้ความสำคัญและต้องการให้เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยของนายเศรษฐา ทวีสิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ประชาชาติธุรกิจ พาย้อนไทม์ไลน์การใช้พื้นที่ในประเทศไทยจัดสนามแข่งขัน F1 เป็นไปได้หรือไม่ ?
F1 มีจุดเริ่มต้นมาจากต้นปี 1900 การแข่งขันรถยนต์ได้รับความนิยมในยุโรป โดยเอฟวันที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน ก่อตั้งโดยเบอร์นี เอคเคิลสโตน มหาเศรษฐีชาวอังกฤษ ดำรงตำแหน่งซีอีโอมาเป็นเวลา 40 ปี เขาทำให้บริษัทเติบโตจนมีผลประกอบการ 1.9 พันล้านดอลลาร์
แล้วการแข่งขันนี้ทำเงินได้อย่างไร ?
ปี 2022 ฟอร์มูล่าวันทำเงินได้ทั้งหมด 2.57 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยได้รับแรงหนุนจากจำนวนผู้เข้าชมสูงสุดเป็นประวัติการณ์และจำนวนผู้ชมทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น ซึ่งรายได้ทั้งหมดมาจากการขายลิขสิทธิ์ในการออกอากาศรายการกรังปรีซ์แก่บริษัทสื่อท้องถิ่นแต่ละประเทศ, สปอนเซอร์และการลงทุนจากผู้ผลิตยานยนต์, ส่วนแบ่งจากการขายตั๋ว, ค่าธรรมเนียมของสนามที่จัดการแข่งขัน และรายได้บนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอย่าง Netflix, F1 TV และอินสตาแกรม
ย้อนกลับไปในช่วงเดือนมีนาคม 2567 เศรษฐา ทวีสิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้หารือกับผู้บริหารบริษัท Formula One Group ประเด็นการจัด Formula 1 ในประเทศไทย โดยฝ่ายผู้จัดก็มองเห็นว่า ไทยเป็นประเทศที่เหมาะกับการขยายการแข่งขัน Formula 1 และจะรีบมาสำรวจสถานทีี่และเตรียมตัวกัน
หลังจากนั้นก็มีคำสั่งมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการสำรวจความเป็นไปได้ในการขยายการจัดแข่งรถ Formula 1
ต่อมาเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน เศรษฐาเข้าพบผู้บริหารสนามแข่งรถ Autodromo Enzo e Dino Ferrari และเสนอความต้องการจัดการแข่งขันขึ้นที่ประเทศไทย เพื่อสนับสนุนด้านการท่องเที่ยว นอกจากนั้นยังได้มีการเชิญผู้ได้รับการทำสัมปทานสนามบินอู่ตะเภามาหารือ โดยเล็งว่า หากมีการจัดการแข่งขันขึ้นก็จะใช้ที่ดินบริเวณอู่ตะเภาเป็นสนามแข่งขัน
เศรษฐามั่นใจว่า จะมีการแข่งขันเกิดขึ้นที่ประเทศไทยอย่างแน่นอน และไทยมีความพร้อมในการสร้างสนามแข่งอย่างเร็วที่สุดปี 2027 หรืออย่างช้าที่สุดปี 2028 โดยมีผู้สนับสนุนรายใหญ่ คือ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)
นอกจากนั้นเขายังกล่าวว่า นอกจากการแข่งขัน F1 แล้ว ก็จะได้มีการจัดการแข่งขัน F2 อีกด้วย ขณะเดียวกันยังไม่ได้ประเมินว่าหากมีการแข่งขันแล้วจะมีรายได้เข้าประเทศมากน้อยเพียงไหน ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ
แต่จากที่สังเกตเห็นในสนามตั๋วเข้าชมระดับวีไอพีต่อคนราคาประมาณ 5,000-8,000 เหรียญสหรัฐ และยังมีรายได้จากช่องทางอื่น ทั้งผู้สนับสนุนหรือการเปิดบูธขายอาหาร
ในมุมของเศรษฐกิจ ยังมีเรื่องของนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศ ทำให้เกิดการใช้จ่าย ทั้งค่าที่พัก ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ซึ่งรัฐบาลสามารถจัดกิจกรรมเสริมในช่วงเวลานั้นได้อีก รวมถึงการเดินทางไปท่องเที่ยวได้หลายจังหวัด และเชื่อว่าจะสร้างผลกระทบเชิงบวกในทางเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล
และมีการโพสต์ผ่านแพลตฟอร์ม X ของพรรคเพื่อไทย ระบุว่า หากมีการจัดการแข่งขันขึ้นในประเทศไทยจริง คาดว่าจะต้องใช้เวลาเตรียมตัว 3 ปี เล็งเป้าให้เกิดขึ้นได้ในปี 2570
จากการประเมินการจัดการแข่งขัน F1
หากการจัดงานดังกล่าวเกิดขึ้นจริงและประสบผลสำเร็จ อาจนำไปสู่การจัดงานในประเทศไทยทุกปี (Annual Event) และจะทำให้ไทยเป็นหนึ่งในเจ้าภาพหลักของการจัดงานที่ใหญ่ระดับโลก (Worldclass Event) อย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับหนึ่งในหัวข้อของวิสัยทัศน์ IGNITE TOURISM THAILAND 2025 หรือการเป็นศูนย์กลางอีเว้นท์ระดับโลกตลอดทั้งปี ผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Tourism Hub และเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
ซึ่งหลังจากเศรษฐาพ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทยก็ได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทน และสานต่อความต้องการสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศเพื่อดึงเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดือนพฤศจิกายน 2567 นายกฯ ระบุผ่าน X ข้อความว่า
“รัฐบาลจะทำอย่างเต็มที่ในเรื่องนี้ เพราะนี่คือเมกะโปรเจกต์ที่จะดึงดูดทั้งการท่องเที่ยว สร้างบรรยากาศของกีฬา ไปสู่การขยายและปรับปรุงเมือง ทั้งหมดนี้เพื่อหารายได้ใหม่เข้าประเทศ กระตุ้นเศรษฐกิจและจะเป็นการโปรโมทประเทศไทยอย่างจริงจังครั้งสำคัญค่ะ”
ซึ่งหลังจากนั้นก็ยังไม่พบความคืบหน้าใด ๆ ล่าสุด การจัดการแข่งขัน F1 ที่ประเทศไทยถูกปลุกประเด็นกลับมาพูดถึงอีกครั้งจากกรณีที่ เนวิน ชิดชอบ ประธานสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต กล่าวถึงการที่รัฐบาลอาจไม่ต่อสัญญาการจัดการแข่งขันโมโตจีพีที่จะหมดสัญญาลงในปี 2026
เป็นเหตุให้ทั้งนายกฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ออกมาชี้แจงเรื่องนี้จ้าละหวั่น ก่อนเนวินจะเผยตัวเลขเศรษฐกิฐของการจัด Moto GP เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์-2 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ปรากฎว่า มีตัวเลขเงินสะพัดกว่า 5,043 ล้านบาท
และได้ให้สัมภาษณ์ถึงความสำเร็จของโมโตจีพีที่บุรีรัมย์ว่า เป็นความยั่งยืนในการส่งเสริมการท่องเที่ยว และเป็นสื่อทางอ้อมให้คนรู้จักประเทศไทย แต่การที่รัฐบาลเสนอไปจัด F1 นั้น เขามองว่าตลาดค่อนข้างแคบ แม้จะแฟนคลับจะเยอะแต่อารมณ์ร่วมต่างจากโมโตจีพี แบะในหลายประเทศก็เลิกจัด F1 แล้ว
นอกจากนั้นยังมองว่า การที่รัฐจะลงทุนจัดที่กรุงเทพฯ นั้นมีข้อจำกัดมากมาย ตั้งแต่สถานที่ เงินลงทุน สนาม คนคุม และต้องสร้างอะไรมากมาย โดยไม่สามารถมั่นใจได้ว่าจะมีรายได้เข้ามาเท่าไหร่
ข้อมูลจาก businessmodelsinc, investopedia และ f1destinations