เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ที่กระทรวงแรงงาน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีที่มีการเรียกร้องให้ควบรวมสิทธิประโยชน์การรักษาพยาบาล โดยสิทธิประโยชน์ประกันสังคม จากสำนักงานประกันสังคม (สปส.) มารวมกับสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง 30 บาท ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสิทธิการรักษาข้าราชการ จากกระทรวงการคลัง ว่า ก่อนหน้านี้ได้รับมอบหมายจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในเรื่องของการบริหารร่วมกันระหว่างสิทธิประกันสังคมและสิทธิบัตรทองให้ไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งในเรื่องนี้มีการหารือกันมาหลายสิบครั้งแล้วแต่ยังไม่สามารถหาจุดสรุปได้ แต่หลังจากมีการถกเถียงกันนั้น ตนก็ได้หารือในส่วนที่เกี่ยวข้อง
“โดยในวันที่ 12 มีนาคม 2568 จะมีการหารือการควบรวมสิทธิประโยชน์เหล่านี้ โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในการหารือกันร่วมกันทั้ง 3 ฝ่ายคือ กรมบัญชีกลาง สปส. และสปสช. เข้าร่วม และจะคุยกันว่าเราจะมาร่วมมือกันในมิติใดได้บ้าง แต่ตัวผมเองไม่ได้ไปก้าวล่วงและไม่ได้เข้าไปร่วมหารือด้วย อยากให้ทางแพทย์ได้คุยกันในเรื่องการรักษาพยาบาล ว่าจะมีสิ่งใดที่เป็นส่วนร่วมและเดินหน้าไปด้วยกันได้ และที่สำคัญคือต้องให้บริการคนไทยได้เร็วและดีที่สุด ผมอยากเห็นว่า ในยุคที่ตนยังดำรงตำแหน่งรมว.แรงงานอยู่ อยากจะให้ทุกส่วนหรือทุกองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวเนื่องกันสามารถร่วมกันและเดินหน้าทำงานไปพร้อมๆกันได้ ที่สำคัญที่สุดคือการบริการที่ดี การประหยัดเวลา เข้าถึงได้ง่าย และคนไทยต้องได้ประโยชน์สูงสุด” นายพิพัฒน์ กล่าว
นายพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า ส่วนคนต่างด้าวเองก็ได้สิทธิประโยชน์ประกันสังคม เพราะคนต่างด้าวเองก็จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมตามมาตรา 33 ต้องได้สิทธิรักษาพยาบาลเหมือนคนไทยทุกประการ ซึ่งขณะนี้มีคนต่างด้าวที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มีจำนวนราว 1.5 ล้านคน ซึ่งการที่มีแรงงานต่างด้าวเข้ามารักษาตามสถานพยาบาล ตามแนวชายแดนไทย ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับประกันสังคม แต่เป็นเรื่องของมนุษยธรรมและจรรยาบรรณของแพทย์ เพราะเกิดจากการสู้รบ การเจ็บป่วยในชายแดนที่ติดกัน ในบ้านเขาไม่มีสถานพยาบาลที่ดี มีเครื่องมือแพทย์ไม่ครบ หรือแพทย์รักษาไม่ได้ จึงมักจะข้ามมารักษาพยาบาลในไทย ซึ่งตรงนี้ด้วยคำว่า ความเอื้ออารี และคนไทยมีน้ำใจ คนกำลังบาดเจ็บ คนกำลังป่วย เราต้องรักษาพยาบาลให้ก่อน
เมื่อถามถึงการหารือกรณีควบรวมสิทธิทั้ง 3 กองทุนที่มีมาแล้วหลายสิบครั้งว่าติดปัญหาหรืออุปสรรคตรงไหน นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ตนเองก็ไม่ทราบเพราะไม่ได้เข้าไปร่วมประชุม สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก่อนที่ตนจะเข้ามารับตำแหน่งรมว. เพราะฉะนั้น อะไรที่เกิดก่อน ตนจะไม่ก้าวล่วง อะไรที่ไม่ประสบความสำเร็จ ตนก็จะไม่เข้าไปสืบค้น แต่ตนจะพยายามทำในยุคของตนให้เกิดความสำเร็จให้ได้มากที่สุด นี่คือส่วนที่อยากจะทำ อยากให้บริการคนไทยให้ได้รับการดูแลรักษาพยาบาลอย่างดีที่สุด
“พวกเราก็ต้องยอมรับว่าการดูแลรักษาพยาบาลในสิทธิบัตรทอง ก็ดีอยู่แล้ว ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ซึ่งไม่ได้รับความคุ้มครองสิทธิค่ารักษาพยาบาล ก็เข้าไปใช้สิทธิบัตรทองก่อน หลังจากรักษาบัตรทองเรียบร้อย ทางประกันสังคมก็จะดูแลสิทธิให้ต่อเนื่อง ส่วนผู้ประกันตนในมาตรา 33 และมาตรา 39 อะไรที่สิทธิบัตรทองดีกว่า เราจะเข้าไปร่วมด้วย แต่ถ้าสิ่งไหนที่ประกันสังคมดีกว่า ก็ผ่อนผันมาให้เรา พวกเราแลกเปลี่ยนกันเพราะเราก็เป็นรัฐเหมือนกัน” นายพิพัฒน์ กล่าว
นายพิพัฒน์ กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการการแพทย์ กองทุนประกันสังคม (บอร์ดแพทย์ สปส.) ที่หมดวาระไปเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า ขณะนี้ตนพร้อมด้วยปลัดกระทรวงแรงงานและเลขาธิการ สปส. กำลังพิจารณาค้นหาผู้ทรงคุณวุฒิ แพทย์ และผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เราก็จะเชิญเข้ามาเป็นบอร์ดแพทย์ แต่แน่นอนว่า สิ่งที่ตนรับปากกับทีมประกันสังคมก้าวหน้าว่า ตนให้สิทธิกับทีมประกันสังคมก้าวหน้า 3 ตำแหน่ง และก็ได้รับรายชื่อกรรมการเข้ามาเรียบร้อยแล้ว สิทธิของคุณ คุณได้รับแน่นอน ส่วนในสิทธิของแต่ละหน่วยงานที่จะส่งรายชื่อกรรมการเข้ามา ต้องขอพิจารณาก่อน ซึ่งพยายามที่จะทำให้เสร็จสิ้นภายในเดือนมีนาคมนี้ บอร์ดแพทย์หรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับนโยบายทางการแพทย์ เราเว้นว่างบอร์ดแพทย์นานไม่ได้
“ส่วนเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะถึงนี้ จะอภิปรายท่านนายกฯ เพียงท่านเดียว แต่ถ้าหากมีสิ่งใดที่พาดพิงถึงกระทรวงแรงงาน ทางกระทรวงก็มีการตั้งวอร์รูมเพื่อรองรับและเตรียมนำข้อมูลทั้งหมดสนับสนุนท่านนายกฯ ถ้าหากท่านนายกฯ ชี้ให้ตัวผมเองขึ้นชี้แจงข้อซักถาม หรือชี้แจงข้ออภิปรายในสภาฯ ผมมั่นใจว่าผมจะชี้แจงได้ แต่มั่นใจว่าท่านนายกฯ มีความรู้ความสามารถ เมื่อได้รับข้อมูลจากกระทรวงแรงงาน ท่านจะสามารถตอบข้อซักถามได้อยู่แล้ว แต่ถ้าจะมอบหมายให้ผมตอบในข้ออภิปรายของสมาชิก ก็พร้อมที่จะตอบในทุกประเด็น” นายพิพัฒน์ กล่าว