กลายเป็นที่ถกเถียงในวงกว้างกับประเด็น ประกันสังคม หลัง ไอซ์ รักชนก ศรีนอก ส.ส. กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน (ปชน.) ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ ได้ออกมาโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว สรุปผลงานกิจกรรม #Hackงบประกันสังคม เนื้อหาระบุถึงการบริหารจัดการงบประมาณบางส่วนอย่างไม่โปร่งใส โดยที่ผ่านมามีทริปดูงานของประกันสังคม ใช้งบสูงถึง 2.2 ล้านบาท อีกทั้งยังมีงบคอลเซ็นเตอร์ 100 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นค่าเช่าระบบ 50 ล้านบาทจ่ายเป็นประจำทุกปี นอกจากนี้ ยังมีค่าตอบแทนประจำปีในปี 65-66 สูงถึง 100 ล้านบาท และยังมีรายจ่ายจิปาถะมากมายที่ใช้งบประมาณมากเกินพอดี อาทิ ค่าจัดทำปฏิทิน ค่าประชาสัมพันธ์ที่ใช้งบกว่า 336 ล้านบาททุกปี แต่ถึงอย่างนั้นประสิทธิภาพการทำงานกลับสวนทางกับงบประมาณที่ได้รับ โพสต์ดังกล่าวสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ ปลุกให้เหล่าผู้ประกันตน ม.33 39 และ 40 ลุกขึ้นมาตั้งคำถาม ว่า สรุปแล้วเงินที่ส่งเข้ากองทุนในแต่ละเดือนถูกนำไปใช้ในทางที่ถูกที่ควรหรือไม่
ต่อมา บุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ดประกันสังคม) ให้สัมภาษณ์กับ ‘มติชน’ ว่ากรณีดังกล่าวไม่กระทบกับผู้ประกันตน เนื่องจากผู้ประกันตนต้องได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ตามที่ได้ส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม และการใช้งบประมาณทำกิจกรรมต่าง ๆ ของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เป็นผลตอบแทนตามที่ สปส.ได้มาเพื่อใช้จ่ายตามระเบียบ กับเรื่องนี้บุญสงค์ก็ขอให้ทาง สปส.ออกมาชี้แจงเรื่องกองทุนด้วยตนเอง
ด้าน มารศรี ใจรังสี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ได้ชี้แจงเกี่ยวกับกระบวนการและขั้นตอนในการจัดทำงบประมาณประจำปีของสำนักงานประกันสังคม ดังนี้
ร้อนไปถึง พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ถึงกลับต้องออกมาตอบโต้ ว่า การที่ ไอซ์ รักชนก ออกมาวิจารณ์กองทุนประกันสังคมนั้น “เป็นเจตนาที่ไม่ดี” และยืนยันว่าการใช้งบประมาณเพื่อบริหารจัดการกองทุนประกันสังคมเป็นไปอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา เนื่องจากหลักเกณฑ์ของประกันสังคมมีวงเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการประจำปี ไม่เกิน 10% ของเงินสมทบประจำปี ซึ่งขณะนี้ใช้อยู่ที่ประมาณ 3% ยังไม่เต็มเพดาน โดยพิพัฒน์มองว่าจุดนี้ เราได้พยายามประหยัดงบประมาณให้กับผู้ประกันตนแล้ว
ขณะเดียวกัน ภูมิพัฒน์ เหมือนจันทร์ โฆษกกระทรวงแรงงาน ก็ได้ออกมาเสริมว่า ไอซ์ รักชนก พูดไม่หมด ส่อเจตนาที่ไม่ดี พร้อมยืนยันอีกเสียงว่า “สปส. โปร่งใส ตรวจสอบได้”
ซึ่งในประเด็นนี้ นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้ให้ความเห็นถึงแนวทางการใช้งบประมาณที่เหมาะสม ว่า สิ่งสำคัญสามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ ภาพใหญ่และภาพเล็ก ซึ่งต้องบริหารจัดการควบคู่กันไป
โดย ภาพใหญ่ นั้น จะต้องควบคุมระดับค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกรรม (Operating Cost) ไม่ให้สูงจนเกินไป เนื่องจากเวลาที่บริหารกองทุนใดก็ตาม จะต้องมีค่าใช้จ่ายทั้งในการจ้างงาน จ้างคน การศึกษาดูงาน หรือการทำประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ แต่งบทั้งหลายนี้ ต้องกลับมาทอนคิดว่าต้องใช้เท่าไหร่ต่อปีจึงจะเหมาะสม ซึ่งหลักเกณฑ์ทั่วไปที่จะใช้พิจารณา คือ หากเป็นกองทุนในลักษณะเดียวกัน เขาจะคิดค่าบริหารจัดการเท่าไหร่ โดยส่วนตัวหากไม่ต้องการอะไรที่มากเกินไป ก็มักจะเทียบกับกองทุนที่ใช้บริหารของต่างประเทศ ซึ่งเกณฑ์อยู่ที่ประมาณ 1.5-2%
หรือพูดง่าย ๆ คือ ค่าใช้จ่ายเวลาเราไปซื้อกองทุนต่างประเทศ เราลงทุน เขาก็คิดค่าบริการเราแค่ 1.5-2% เพื่อที่จะบริหารให้ได้ผลประโยชน์สูงสุด ถ้าย้อนกลับมาแบบนี้หมายความว่า กองทุนประกันสังคมก็ไม่ควรที่จะใช้งบประมาณเกิน 1.5-2% ต่อปี
ฉะนั้น ถ้าเทียบในปัจจุบัน เราจะเห็นว่าภาพใหญ่ คือ กองทุนประกันสังคมใช้งบประมาณ 3% ต่อปี ซึ่งสูงเกินไป นั่นแปลว่า “ยังมีไขมันที่ยังไม่ได้รีดอยู่ มันควรที่จะต้องลดลง”
ต่อมา เฟซบุ๊กของ ไอซ์ รักชนก กลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง หลังถูกฝั่งรมว.และโฆษกแรงงานโจมตีว่า สิ่งที่เธอออกมาสื่อสารต่อประชาชนเป็นเรื่องเล็กและพูดไม่หมด เธอจึงตัดสินใจว่าต่อไปนี้จะแฉให้หมดว่ากองทุนทำอะไรกับเงินของผู้ประกันตนบ้าง โดยเปิด 3 ประเด็นใหญ่ ดังนี้
หลังจากโต้ตอบผ่านสื่อกันไปมาในที่สุด ไอซ์ รักชนก และ รมว.พิพัฒน์ ก็ได้มาตั้งโต๊ะถกกันถึงประเด็นการทำงานของสำนักงานประกันสังคม ผ่านรายการ กรรมกรข่าว คุยนอกจอ
ตอนหนึ่ง ไอซ์ รักชนก ได้ตั้งตำถามถึงกรณีคณะกรรมการการแพทย์ กองทุนประกันสังคม (บอร์ดแพทย์) ซึ่งแต่งตั้งเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 วาระ 2 ปี และจะหมดวาระในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 นี้ ท่านรมว. จะไม่มีการกีดกันสัดส่วนของฝ่ายผู้ประกันตน หรือสัดส่วนของฝ่ายประกันสังคมก้าวหน้าใช่หรือไม่ หลังจากสื่อได้มีการเปิดเผยโฉมหน้าบอร์ดแพทย์ของประกันสังคมให้ประชาชนได้รับทราบ ซึ่ง รมว.พิพัฒน์ โต้ว่า บอร์ดแพทย์มาจากการแต่งตั้ง เราได้มีการหารือกัน โดยให้สิทธิทีมประกันสังคมก้าวหน้าอยู่แล้วว่าได้กี่ที่นั่ง ซึ่งเราได้มีการคุยกัน และทางทีมฯ มีการส่งตัวแทน 2-3 คน ในส่วนนี้อาจจะมีแพทย์ด้วยหรือไม่มีก็ได้ ตรงนี้เป็นการรับไว้พิจารณา ทั้งนี้ บอร์ดไหนจะหมดวาระหรือไม่หมดวาระ รมว.พิพัฒน์เรามีการพูดคุยกันเสมอ และเรายินดีที่จะเปิดกว้างสำหรับใครที่ต้องการเข้าร่วม
ในส่วนของประเด็นทริปดูงานที่ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดนั้น พร้อมกับตั้งคำถามว่า การสรุปงานในหมายกำหนดการของทริปคืออะไร รมว.พิพัฒน์ ตอบว่า อย่าเข้าใจผิด เดี๋ยวประชาชนจะบอกว่าไปดูงานคือการไปเที่ยว ถ้ามีเวลาว่างหลังดูงานก็ไปได้ นอกเวลางานก็เป็นสิทธิของเขา ที่ลงว่าการประชุมสรุปงาน ก็เป็นงานเช่นเดียวกัน เพราะถ้าไม่สรุปงานก็อาจจะลืมได้ กล้าค้ำประกันเลยว่าได้งานแน่นอน สำหรับการเดินทางก็ทำตามระเบียบและค่าตั๋วเครื่องบนเฟิร์สต์คลาส มาจากสำนักงบประมาณ ไม่ใช่เงินผู้ประกันตนแต่อย่างใด
ก่อนจะชี้แจงถึงสิทธิรักษาพยาบาลของผู้ประกันตนที่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับ ‘สิทธิบัตรทอง’ ว่า จ่ายแพงแต่สู้สิทธิรักษาฟรีไม่ได้เลย ซึ่งรมว.พิพัฒน์ ก็ได้มีการโต้กลับว่า สปส. มีการปรับปรุงตลอด จะบอกว่าห่วยเหมือนเดิมไม่ได้ อย่างเรื่องทำฟันก็มีรถโมบายล์ไปรักษา ซึ่งสปสช.ไม่มี แต่ก็กำลังจะเพิ่มจาก 900 บาท เป็น 1,200 บาท ส่วนที่เราดีกว่าก็มีเช่นกัน แต่อะไรที่ไม่ดีก็ยอมรับ
ในส่วนของปฏิทินประกันสังคมที่ได้มีการตั้งคำถามถึงความจำเป็นในการมีอยู่ รมว.พิพัฒน์บอกว่า ผู้ประกันตนมาตรา 40 บางส่วนที่อยู่พื้นที่ห่างไกล ไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ทำปฏิทินยังมีความจำเป็นอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นหากสำรวจว่าไม่อยากได้แล้วก็จะยกเลิกการทำในปี 2570
ส่วนกรณีบอร์ดแพทย์ที่กำลังจะหมดวาระแล้ว แต่ทิ้งทวนไปดูงานที่อิตาลี นายพิพัฒน์กล่าวว่า ไม่ทราบ เพราะไม่ได้เป็นคนอนุมัติ ไม่แน่ใจว่าทิ้งทวนหรือไม่ ถ้าทิ้งทวนก็เป็นความรับผิดชอบของประกันสังคม ส่วนกรณีที่จะหมดวาระแล้วไปต่างประเทศจะเหมาะสมหรือไม่นั้น ก็ต้องดูว่ามีงานค้างหรือไม่ ถ้ามีงานที่ค้าง การที่จะไปดูก็คิดว่าเหมาะสม ตนก็ไม่ได้อยากไปพาดพิงองค์กรอื่นๆ ที่ผ่านมา
“จากการได้คุยกับ รักชนก ผมคิดว่าต่างคนต่างเข้าใจกัน เขาก็อยู่ในบริบทของนิติบัญญัติ ผมอยู่ในบริบทฝ่ายบริหาร การที่นิติบัญญัติเข้ามาตรจสอบฝ่ายบริหารเป็นเรื่องปกติ หากไม่มีการตรวจสอบแล้วใครจะมาตรวจสอบ หรือต้องรออีกทีคือ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เอาไปติดคุก เพราะฉะนั้นให้นิติบัญญัติเข้ามาตรวจสอบพวกเราก่อนเป็นสิ่งที่ดีแล้ว จะได้รู้ตนเองว่ามีอะไรที่ล้ำเส้นไป หรือยังอยู่ในกรอบ ผมเชื่อว่าเป็นการถ่วงบาลานซ์ระหว่างฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ” รมว.พิพัฒน์กล่าวพร้อมกับทิ้งท้ายว่า
“เงินไม่ใช่ของผม เงินเป็นของผู้ประกันตนทุกคน เราต้องเดินหน้าไปพร้อม ๆ กัน เราต้องพยายามให้บอร์ดประกันสังคมอนุมัติในสิ่งที่เราอยากจะทำ อยากจะเอาเงินของกองทุนประกันสังคม ไปสร้างดอกออกผลเพื่อผู้ประกันตนมากที่สุด เพื่อเป็นการป้องกันในอีก 30 ปีข้างหน้า ทำให้กองทุนประกันสังคมไม่ล้มละลาย”
หลังจากแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ ประกันสังคมก้าวหน้า ก็ได้เตรียมเสนอวาระเร่งด่วนต่อ ประธานคณะกรรมการประกันสังคม หรือ ปลัดกระทรวงแรงงาน เพื่อขอเพิ่มวาระการประชุมคณะกรรมการประกันสังคม จากกรณีที่สังคมตั้งคำถามถึงความโปร่งใสของสำนักงาน โดยมีเนื้อหา อาทิ ให้มีการเปิดเผยรายงานการประชุม เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของสำนักงานประกันสังคม, ถ่ายทอดสดการประชุม, ติดตามประเด็นสำคัญด้านการแพทย์, ตรวจสอบรายงานเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลเดือนมกราคม และ ปฏิรูปการบริหารบุคคล ล่าสุด เตรียมเสนอกฎหมายนำประกันสังคมออกนอกระบบ โดยมีรายละเอียดดังนี้
“กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เป็นองค์กรที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติ กบข. ไม่มีสถานะเป็น ส่วนราชการ สามารถจ้างมืออาชีพมาบริหารจัดการได้อย่างง่ายไม่ติดกรอบระเบียบราชการ แต่ทำไม ประกันสังคมซึ่งเป็นกองทุนบำนาญของประชาชนถึงยังอยู่ใต้ระบบราชการจัดอยู่ในฐานะ กรม ใต้กระทรวงแรงงาน ประกันสังคมก้าวหน้า เตรียมเสนอกฎหมายนำประกันสังคมออกนอกระบบราชการสร้างความโปร่งใส ดึงคนมีความตั้งใจมีความสามารถเข้ามาบริหาร!”
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เสียงของประชาชนสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซึ่งต่อจากนี้คงต้องช่วยกันจับตาดูต่อไป