จิราพร จ่อชง นายกฯ ตั้งกก. แก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า เล็งเปิดแพลตฟอร์มแจ้งเบาะแส คาดเสร็จใน 2 สัปดาห์
GH News March 07, 2025 09:32 AM

จิราพร จ่อชง นายกฯ ตั้งกก. แก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า เล็งเปิดแพลตฟอร์มแจ้งเบาะแส คาดเสร็จใน 2 สัปดาห์

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เป็นประธานการประชุม ติดตามการแก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า หลังจากประชุมไปแล้ว 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงการปราบปรามระยะเร่งด่วน และการประชาสัมพันธ์ ปรับปรุงแก้ไขข้อกฎหมาย พร้อมกับนำเสนอมาตรการแก้ปัญหาระยะยาว ทั้งนี้ สถิติจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 1-26 กุมภาพันธ์ 2568 มีการจับกุมปราบปรามไปแล้ว 666 คดี ยึดของกลางได้กว่า 4 แสนชิ้น รวมมูลค่า 41 ล้านบาทเศษ ตนจึงสั่งการในที่ประชุมว่าภายในวันพรุ่งนี้ (7 มีนาคม) หน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายและปราบปราม เช่น กรมศุลกากร กระทรวงมหาดไทย สคบ. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ที่มีการปิดกั้นเว็บยูอาร์แอลต่างๆ ให้สรุปข้อมูลทั้งหมดไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อรวบรวมข้อมูลยอดการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าก่อนนำเรียนนายกรัฐมนตรีทุกสัปดาห์ และจะมีการแถลงข่าวให้ประชาชนได้รับทราบ

นางสาวจิราพรกล่าวว่า ส่วนการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจะมีหน่วยงานต่างๆ รับแจ้งเบาะแส เช่น สายด่วน สคบ. 1599 สายด่วนกระทรวงดีอี 1212 หรือศูนย์ดำรงธรรมแต่ละจังหวัด ซึ่งประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสบุหรี่ไฟฟ้าได้ ขณะเดียวกัน สคบ.ได้มีการปรับปรุงเว็บไซต์ เพิ่มแบนเนอร์แจ้งเบาะแสบุหรี่ไฟฟ้าโดยเฉพาะอีกด้วย ขณะที่การแก้ปัญหาระยะยาว สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (ดีจีเอ) กำลังพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ให้ประชาชนแจ้งเบาะแส คาดว่าภายใน 1-2 สัปดาห์จะแล้วเสร็จ โดยจะมีการรวบรวมเบาะแสต่างๆ ส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ซึ่งแบบฟอร์มนี้จะแสดงยอดการแจ้งเบาะแส และยอดการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อจะได้เห็นความคืบหน้าการทำงานของเจ้าหน้าที่

นางสาวจิราพรกล่าวว่า ส่วนด้านการประชาสัมพันธ์จะสร้างการตระหนักรู้โทษของบุหรี่ไฟฟ้า และข้อกฎหมายต่างๆ จะเน้นไปที่สถานศึกษาซึ่งเป็นข้อกังวลของนายกรัฐมนตรี โดยกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข จะต้องทำงานกันอย่างใกล้ชิด ส่วนการแก้ไขข้อกฎหมายได้มอบหมายให้แต่ละหน่วยงานไปดูว่ามีกฎหมายฉบับใดที่ต้องปรับปรุง และในระยะยาวหากจำเป็นจะต้องมีคณะกรรมการเพื่อดูกฎหมายฉบับที่เกี่ยวข้องกันแล้วนำไปแก้ไข นอกจากนี้ ยังหารือถึงการแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในระยะยาวที่จะต้องมีประสิทธิภาพ คือการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา ซึ่งจะเรียนนายกรัฐมนตรีให้รับทราบตามกรอบระยะเวลา 15 วัน ที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานเรื่องนี้ คือไม่เกินวันที่ 15 มีนาคมนี้ จะได้มีการหารือกันในประเด็นนี้

นางสาวจิราพรยังกล่าวถึงการแจ้งเบาะแสเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ว่าหากมีผู้แจ้งเบาะแสเข้ามากรณีร้านค้าออนไลน์ กระทรวงดีอีจะมีเอไอตรวจจับตามคีย์เวิร์ด ซึ่งจะมีการประสานให้เอาลงจากแพลตฟอร์ม ขณะเดียวกันจะมีการเก็บข้อมูลโดยเอไอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการต่อ ซึ่งจะทำในระยะเวลาที่เร็วที่สุดอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อวานนี้ (5 มี.ค.) คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้เชิญแพลตฟอร์มออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม รวมถึงผู้ประกอบการขนส่งเพื่อกำชับไม่ให้มีการขายบุหรี่ไฟฟ้าออนไลน์ ซึ่งผู้ให้บริการทุกแพลตฟอร์มให้ความร่วมมืออย่างดี และพร้อมดำเนินการได้ทันทีเพราะเขามีระบบอยู่แล้ว เพียงแต่จะใช้ความเข้มงวดมากขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการขนส่งทุกราย หลังจากนี้ตรงจุดส่งสินค้าจะมีการติดป้ายว่าไม่ให้มีการส่งบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งจะมีรายละเอียดที่ทาง สคบ.ส่งให้ผู้ประกอบการไปดูต่อ

นางสาวจิราพรกล่าวด้วยว่า สำหรับการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า พบว่าลักลอบนำเข้าทางเรือมากที่สุด รวมถึงตามด่านชายแดนต่างๆ โดยเฉพาะทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเราได้มีมาตรการป้องกันการลักลอบนำเข้าตามแนวชายแดน รวมถึงมาตรการปราบปรามร้านค้าทั้งที่มีที่ตั้งและออนไลน์ด้วยภายในประเทศ ซึ่งศุลกากรจะเป็นหน่วยงานหลักที่ทำงานร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง โดยจะบังคับใช้กฎหมายเข้มข้นมากขึ้น ตนได้สั่งการไปยังอธิบดีกรมศุลกากรว่า ต่อจากนี้ทุกเคสที่มีการจับกุมได้ที่ด่านศุลกากรจะไม่มีการระงับคดีเด็ดขาด แต่จะส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สืบเส้นทางการเงินและนำสู่การยึดทรัพย์ แล้วจะส่งให้ตำรวจสอบสวนกลางดำเนินคดีต่อ

นางสาวจิราพรกล่าวต่อว่า ส่วนของกลางที่ยึดจับกุมได้ หากคดีถึงที่สุดแล้วจะมีการทำลาย ซึ่งขณะนี้ศุลกากรกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะทำลายรูปแบบไหน แต่ก็ทราบว่างบประมาณส่วนนี้ยังไม่เพียงพอ ซึ่งจะนำปรึกษานายกรัฐมนตรีต่อไป ส่วนของกลางที่จับกุมใหม่ต้องรอให้คดีถึงที่สุดก่อนจึงจะทำลายได้

“เราต้องทำให้ผู้ลักลอบนำเข้ามีค่าใช้จ่ายมากที่สุด เพื่อที่จะไม่ให้ทำผิดซ้ำได้อีก และมีการใช้กฎหมายที่เข้มข้นขึ้น หลังจากนี้ไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่หรือรายย่อย หากของกลางมูลค่าเกิน 5 แสนบาท จะส่ง ปปง.ดำเนินการต่อทันที แต่หากต่ำกว่า 5 แสนบาท จะมีการสืบทรัพย์ส่ง ปปง.ดำเนินการต่อเช่นกัน“ นางสาวจิราพรกล่าว

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.