สหรัฐฯ ยันเคยติดต่อรับอุยกูร์ จากไทยหลายครั้ง สุดท้ายเลือกส่งกลับจีน
วันที่ 7 มีนาคม เว็บไซต์ voa thai รายงานว่า กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ รับ เคยเสนอรับอุยกูร์จากไทยจริง
โดยมีรายละเอียดว่า กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ยอมรับกับวีโอเอว่า ได้ติดต่อประสานงานกับไทยหลายครั้งเพื่อเลี่ยงการส่งชาวอุยกูร์กลับไปจีน ซึ่งรวมถึงการเสนอรับตัวไปยังสหรัฐฯ
ทีมโฆษกกระทรวงต่างประเทศให้ข้อมูลในวันพุธ หลังรัฐบาลไทยส่งชาวอุยกูร์ 40 ชีวิตกลับไปยังจีนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และในเวลาต่อมาสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า มีอย่างน้อยสามประเทศที่เสนอขอรับตัวไป แต่ทางการไทยยังตัดสินใจทำตามคำร้องขอส่งตัวของรัฐบาลปักกิ่งเนื่องจากกังวลต่อผลกระทบที่อาจจะตามมา
ทีมโฆษก กต. ระบุว่า “เราร่วมงานกับไทยมาหลายปีเพื่อเลี่ยงสถานการณ์นี้ รวมถึงการเสนออย่างสม่ำเสมอ และซ้ำไปซ้ำมาเรื่องการให้ชาวอุยกูร์ไปตั้งรกรากในประเทศอื่น ซึ่ง ณ จุดหนึ่งรวมถึงสหรัฐฯ”
กระทรวงต่างประเทศยังได้เน้นย้ำการประณามอย่างรุนแรงที่สุดจากสหรัฐฯ กรณีการส่งตัวที่เกิดขึ้น และเรียกร้องให้ทางการจีนเปิดข้อมูลให้ตรวจสอบสวัสดิภาพของชาวอุยกูร์ชุดล่าสุด ที่ส่งตัวกลับไปยังเขตปกครองตนเองซินเจียง เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยกลุ่มที่ไทยส่งกลับไปเมื่อปี 2558 ซึ่งปัจจุบันไม่สามารถสืบทราบชะตากรรมได้
เมื่อเช้ามืด 27 กุมภาพันธ์ ตามเวลาท้องถิ่น รถผู้ต้องขังที่ปิดหน้าต่างทึบ นำคนกลุ่มหนึ่งออกจากสถานกักตัวคนต่างด้าว ซอยสวนพลู กรุงเทพฯ ซึ่งในวันเดียวกัน สถานทูตจีนประจำประเทศไทยได้ยืนยันว่า เป็นกลุ่มชาวอุยกูร์ที่ส่งตัวกลับไปยังเขตปกครองตนเองซินเจียง
ค่ำวันเดียวกัน ตัวแทนรัฐบาลไทยแถลงข่าวอธิบายว่า ได้ส่งคนกลุ่มดังกล่าวกลับตามคำร้องขออย่างเป็นทางการของจีน โดยผู้ถูกส่งกลับมีความสมัครใจ รัฐบาลกรุงปักกิ่งยืนยันที่จะดูแลคนกลุ่มดังกล่าว และจากนี้ไทยจะติดตามตรวจสอบสวัสดิภาพของผู้ถูกส่งกลับต่อไป
ในรายงานของรอยเตอร์ระบุว่า ช่วงสิบปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ แคนาดาและออสเตรเลียเคยเสนอตัวรับชาวอุยกูร์ทั้งหมด 48 คน ที่ถูกกักตัวในไทย อ้างอิงตามแหล่งข่าวที่ให้ข้อมูลโดยไม่เปิดเผยชื่อ เนื่องจากเป็นประเด็นที่อ่อนไหว
ข้อความของทีมโฆษกที่วีโอเอได้รับมีใจความเดียวกันกับที่ปรากฏในรายงานของรอยเตอร์
กต.แจง ส่งกลับคือ ‘ทางเลือกที่ดีที่สุด’
นายรัศมิ์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ เข้าชี้แจงกับคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎรในวันพฤหัสบดี ระบุว่า ที่ไทยตัดสินใจส่งชาวอุยกูร์ให้จีนแม้มีบางประเทศพร้อมรับตัวไป เนื่องจากเห็นว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะแม้หากประเทศที่สามยินดีจะรับ ก็ควรต้องไปหารือเจรจากับจีนให้ประสานตัวส่งไปประเทศที่สามด้วย
ผู้ช่วย รมต. กระทรวงต่างประเทศ กล่าวด้วยว่าทางการจีนพร้อมให้ติดตามสวัสดิภาพกลุ่มคนดังกล่าว และกระทรวงต่างประเทศจะรับไปหารือเรื่องการเชิญผู้แทนจากสำนักจุฬาราชมนตรี ไปติดตามชาวอุยกูร์ภายหลังการส่งตัวด้วย
ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นถือเป็นการเปลี่ยนท่าทีของรัฐบาลไทยในแง่ข้อมูล เนื่องจากเดิมทีนายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมระบุในการแถลงข่าวหลังการส่งตัวว่า การแจ้งความจำนงจากประเทศที่สามครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อราวสิบปีก่อน
เบนาร์นิวส์ สื่อภายใต้ United States Agency for Global Media (USAGM) เช่นเดียวกับวีโอเอ รายงานเรื่องข้อเสนอรับตัวชาวอุยกูร์ไปประเทศที่สามเช่นกัน
นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เปิดเผยเอกสารบันทึกประชุมเมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ของ กมธ. การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน ที่ตัวแทนกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า “UNHCR หรือ OHCHR ขอให้ไทยไม่ส่งตัวชาวอุยกูร์กลับไปจีนและบางประเทศก็แสดงความพร้อมรับชาวอุยกูร์ไปตั้งถิ่นฐาน เช่น สหรัฐฯ สวีเดน ออสเตรเลีย”
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ ยืนยันว่าชาวอุยกูร์ทุกคนสมัครใจที่จะกลับจีน และรัฐบาลปักกิ่งให้คำมั่นสัญญาว่าทุกคนที่กลับไปจะปลอดภัย “ไม่มีประเทศที่สามมาเสนอในการขอรับตัวอุยกูร์เลย ประเทศไทยก็ต้องส่งกลับคนจีนไปประเทศจีน”
นายสุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาองค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย กล่าวกับเบนาร์นิวส์ว่า มีหลายประเทศที่เสนอรับชาวอุยกูร์จากไทย แม้ไม่ใช่การรับตัวเป็นชุดใหญ่คราวเดียว แต่ไทยไม่ได้สานต่อข้อเสนอไปจนถึงระดับที่ทำเป็นเอกสารอย่างเป็นทางการ
ไทยเข้ามาพัวพันในประเด็นนี้สืบเนื่องจากมีชาวอุยกูร์ที่ลี้ภัยจากจีน และถูกจับกุมที่ไทยในข้อหาเข้าเมืองผิดกฎหมายเมื่อช่วงปี 2557
กลางปี 2558 รัฐบาลทหารของไทยส่งชาวอุยกูร์มากกว่า 170 คน ซึ่งส่วนมากเป็นเด็กและผู้หญิงไปยังตุรกี ทว่า หลายสัปดาห์หลังจากนั้นก็ส่งตัวชายชาวอุยกูร์ 109 คนกลับจีนในลักษณะที่คล้ายกับอาชญากร
การส่งตัวรอบล่าสุดในปี 2568 ตามมาด้วยเสียงวิจารณ์จากหลายชาติตะวันตก สหรัฐฯ ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ รวมถึงองค์กรสิทธิมนุษยชน ที่กังวลว่าคนกลุ่มนี้จะตกอยู่ในความเสี่ยงต่อชีวิตหรือสวัสดิภาพในจีน ซึ่งที่ผ่านมามีรายงานการซ้อมทรมานและใช้แรงงานบังคับในค่ายอบรมที่ซินเจียง และทางการจีนปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวมาโดยตลอด
ในกรณีผู้ลี้ภัยอุยกูร์ชุดล่าสุด หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ตอบสื่อมวลชนในการแถลงข่าวประจำวันว่า การส่งตัวกลับครั้งนี้กระทำบนพื้นฐานกฎหมายไทยและจีน รวมถึงกฎหมายและระเบียบปฏิบัติระหว่างประเทศ ตามการรายงานของเอพี
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวด้วยว่า “สิทธิและผลประโยชน์โดยชอบตามกฎหมายของบุคคลที่เกี่ยวข้องได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่”