ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการ ฤดูร้อนปี 2568 นี้มาช้ากว่าปกติราว 2 สัปดาห์ เริ่มต้นขึ้นแล้วเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และจะสิ้นสุดประมาณกลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งการเข้าสู่ฤดูร้อนของไทยมีเงื่อนไขมวลอากาศเย็นต้องอ่อนกำลังลงและอากาศร้อนเคลื่อนเข้ามาแทน โดยอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยมากกว่า 35 องศาเซลเซียส ติดต่อกันหลายวัน ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายพื้นที่ในไทยเผชิญสภาพอากาศร้อนจัดอุณหภูมิแตะ 40 องศาเซลเซียส อีกหลายพื้นที่ในภาคอีสานและภาคตะวันออกพายุฤดูร้อนถล่ม ส่งผลกระทบให้บ้านเรือนพังเสียหาย บางพื้นที่เกิดน้ำท่วมฉับพลัน
จากการติดตามสภาวะอากาศและปรากฎการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อลักษณะอากาศเดือนมีนาคม เมษายน และพฤษภาคม พ.ศ. 2568 นายสมควร ต้นจาน ผู้อำนวยการกองพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ฤดูร้อนปี 68 พร้อมเตือนไทยเผชิญความแปรปรวนจากภาวะโลกเดือด ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว
นายสมควร กล่าวว่า ปีนี้เข้าสู่ฤดูร้อนช้ากว่าปกติ เนื่องจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง การเข้าสู่ฤดูร้อนขยับออกไป แต่ยังมีมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมยังไม่คลาย ส่งผลให้มีฝน แต่บางช่วงอากาศเริ่มร้อนขึ้น บางพื้นที่อุณหภูมิทะลุ 40 องศาฯ ไปแล้ว เช่น ต.บัวชุม อ.ชัยบาดาล จ. ลพบุรี อ.เมืองตาก ตาก อ.เถิน จ.ลำปาง ส่วนอุณหภูมิสูงสุดบริเวณกรุงเทพฯ และปริมณฑล วัดได้ 38 องศาฯ ที่คลองหลวง จ.ปทุมธานี แต่จะไม่ร้อนแรงต่อเนื่อง มีฝนมาสลับ กลางเดือนมีนาคมจะมีฝน ช่วยคลายร้อน อีกทั้งฝนที่ตกจะช่วยชะล้างฝุ่น PM2.5 ได้ดีมากขึ้น สำหรับแนวโน้มการระบายอากาศบริเวณ กทม. ช่วงวันที่ 7-14 มี.ค.นี้ อยู่ในเกณฑ์ดีถึงดีมาก
อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่า ปลายเดือน มี.ค. – ต้นเดือน เม.ย. จะมีบางวันอุณหภูมิสูงขึ้น 39-41 องศาฯ แต่จะไม่ทำลายสถิติสูงสุด 44.6 องศาฯ วัดได้ที่แม่ฮ่องสอนและตาก ปี 2559 และปี 2566 ซึ่งเป็นผลจากสภาวะเอลนีโญกำลังแรง อุณหภูมิสูง ส่วนปี 2567 อุณหภูมิสูงสุด 44 องศาฯ ที่ จ.ลำปาง
“ ปีที่แล้วร้อนนานและร้อนต่อเนื่อง คนหงุดหงิด แต่ฤดูร้อนปีนี้จะร้อนน้อยกว่าปีแล้ว และปีนี้มีปรากฎการณ์ลานีญา ส่งผลให้ปริมาณฝนมากกว่าปกติ 10-20% ของพื้นที่ ส่งผลให้หลายพื้นที่มีฝนและมีความชื้นในอากาศสูง ช่วยบรรเทาอากาศร้อนลงได้บ้าง โดยเฉพาะช่วง มี.ค. เม.ย. และ พ.ค. ฝนกระจายตัว และฝนมาเร็ว แต่บางจังหวัดมีโอกาสเผชิญกับสภาพอากาศร้อนจัด โดยมีอุณหภูมิสูงสุด 42-43 องศาฯ ส่วนอุณหภูมิเฉลี่ยของประเทศไทยอยู่ที่ 35-36 องศาฯ อย่างไรก็ตาม ตลอดเดือนมีนาคมนี้ต้องเฝ้าระวังพายุฤดูร้อน ฝนตกหนัก ลมกรรโชกแรง ช่วงวันที่ 11- 12 มี.ค. และ วันที่ 16-17 มี.ค. มีโอกาสเกิดพายุฤดูร้อน ต้องติดตามสภาพอากาศเป็นระยะๆ อาจสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน “ นายสมควร กล่าว
สำหรับจังหวัดที่มีโอกาสอุณหภูมิสูงกว่า 42 องศาฯ มีทั้งหมด 14 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ตาก เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก เลย หนองคาย อุดรธานี หนองบัวลำภู ชัยภูมิ และขอนแก่น นอกจากนี้ มีภาคกลางตอนบนอย่างจังหวัดนครสวรรค์ด้วย
ผอ.กองพยากรณ์อากาศ กล่าวต่อว่า ปีนี้มีลานีญาอ่อนๆ คลุมอยู่ กลางปีจะเข้าสู่สภาวะความเป็นกลาง จะมีฝนเข้ามา คาดการณ์ปริมาณฝนปี 68 จะสูงกว่าค่าปกติ ต้นปี มีนาคม เมษายน มีฝนมาต่อเนื่อง ถ้ากลางปีฝนทิ้งช่วงก็ยังไม่มีปัญหาขาดแคลนน้ำ แต่ถ้าหากฝนตกต่อเนื่องต้องมอนิเตอร์และบริหารจัดการอย่างเหมาะสม เพราะขณะนี้อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ เช่น เขื่อนสิริกิติ์มีปริมาณน้ำมาก สะสมมาตั้งแต่ปี 67 จากกรณีฝนตกหนักน้ำท่วมเชียงราย พะเยา น่าน เราเก็บกักน้ำไว้มาก หากปีนี้ฝนมากต้องบริหารจัดการน้ำให้ดี โดยต้องบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ภาคอีสานยังน่าห่วง นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ศรีษะเกษ อุบลราชธานี ปีที่แล้วปริมาณฝนน้อย หากช่วงนี้มีฝนฟ้าคะนอง แนะนำให้เก็บกักน้ำสำรองไว้ใช้ยามหน้าแล้ง
“ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีผลกระทบต่อประเทศไทยมาก เกิดสภาพอากาศผันแปรในหลายๆ พื้นที่ ซีกตะวันตกของภาคเหนือและกลางฝนน้อยกว่าปกติในหน้าฝน จะต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปรากฎการณ์เอลนีโย-ลานียา เดิมการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นทุกช่วง 2 ปีครึ่ง จะสลับปรากฎการณ์กันอยู่ แต่เฉพาะปี 2567 ปีเดียว เกิด 3 ปรากฎการณ์ ต้นปีเอลนีโญรุนแรง กลางปีเป็นภาวะกลาง ปลายปีเป็นลานินญาอ่อน ส่วนปี 68 นี้ ต้นปีเป็นลานีญาอ่อน กลางปีเป็นกลาง ปลายปีคาดว่าจะเกิดลานียาอีกรอบหนึ่ง ซึ่งไม่มีตำราของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ฉะนั้น ต้องวิเคราะห์กันให้ตลอด อย่างฤดูหนาวที่ผ่านมาอยู่ภายใต้ปรากฎการณ์ลานีญา ทำให้ดึงมวลอากาศเย็นได้ดีกว่า หนาวนาน เพราะมวลอากาศเย็นมาเป็นระลอกๆ ถี่กว่าปี 66 หน้าหนาวจึงแตกต่างจาก 2-3 ปีที่ผ่านมา “ นายสมควร กล่าว
การเฝ้าระวังและรับมือกับสภาพอากาศแปรปรวน ผอ.กองพยากรณ์อากาศ เน้นย้ำว่า ปัจจุบันสถานการณ์ฝนเปลี่ยนไป ตกเฉพาะที่ ตกหนัก ตกรุนแรง ปีที่ผ่านมา แม่สาย เชียงราย ฝนตกเฉพาะ ตกเฉพาะภาคเหนือตอนบน แต่ภาคเหนือตอนล่างปรากฎว่า ปริมาณฝนต่ำกว่าค่าปกติ ทั้งกำแพงเพชร พิจิตร พิษณุโลก การติดตามเฝ้าระวังสภาพอากาศทำได้ยาก ส่วนภาคใต้ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ฝนตกหนัก 300-400 มิลลิเมตรต่อวัน ตกต่อเนื่องติดกัน อิทธิพลจากพายุเกิดน้ำท่วมสูง นี่เป็นสัญญาณเตือน เป็นปรากฎการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“ การพยากรณ์อากาศและการเตือนภัยพิบัติจากเดิมที่ทำในรายภาค จะต้องปรับมาทำเฉพาะพื้นที่ เจาะรายจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความเสี่ยง เกณฑ์ความเสี่ยงจัดลำดับตามผลกระทบและบริบทของภูมิประเทศ หากมีข้อมูลเหล่านี้จะสนับสนุนท้องถิ่นในการบริหารจัดการภัยเฉพาะพื้นที่ได้ดีขึ้น ในแผนการยกระดับงานพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาจะต้องเร่งแบบจำลองเฉพาะที่และเร่งติดตั้งสถานีตรวจวัดสภาพอากาศให้มีความถี่เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพและพยากรณ์แม่นยำมากขึ้น หากรัฐบาลจะขับเคลื่อนการแจ้งเตือนภัยและบริหารจัดการน้ำอย่างจริงจัง เกิดประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ต้องพัฒนาระบบการตัดสินใจ สร้างกลไกนำข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมอุตุฯ สทนช. กรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยไปวิเคราะห์ให้มีการแจ้งเตือนอย่างเอกภาพ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ขณะนี้ขาดหน่วยงานกลางที่มีกฎหมายรองรับในการแจ้งเตือนภัยพิบัติ หากยังต่างคนต่างทำจะเสี่ยงภัยพิบัติและสร้างความสับสนให้กับประชาชน เรามีบทเรียน ต้องเรียนรู้และนำไปสู่การแก้ปัญหา “ นักอุตุนิยมวิทยา ฝากโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลทิ้งท้าย