ในโอกาสก้าวขึ้นสู่ปีที่ 9 ของโรงพยาบาลเอส สไปน์ (S Spine Hospital) โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ซึ่งก่อตั้งโดย นายแพทย์ดิตถพงษ์ บุญอำพล โดยนายแพทย์ดิตถพงษ์ ได้แสดงวิสัยทัศน์ตลอดจนทิศทางการพัฒนาโรงพยาบาลในอนาคต ว่า มองเห็นแนวโน้มของสังคมผู้สูงอายุและผลกระทบที่มีต่อโรคกระดูกสันหลังและข้อ ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลมีอัตราการเติบโตของผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง 3 เท่า โดยมีผู้ป่วยประมาณ 1แสนราย ในเวลาไม่ถึง 10ปี นับว่าเป็นความสำเร็จของโรงพยาบาล ซึ่งในช่วงแรกผู้ป่วยส่วนใหญ่มาด้วยปัญหากระดูกสันหลังส่วนล่าง แต่ปัจจุบันพบว่า มีผู้ป่วยโรคกระดูกสันหลังส่วนคอเพิ่มขึ้น จากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป
นพ.ดิตถพงษ์ กล่าวอีกว่า จากการมองเห็นว่าสังคมไทย กำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยคาดว่าในอีกไม่กี่ปี ประเทศไทยจะมีผู้มีอายุเกิน 60 ปี ประมาณ 30% ของจำนวนประชากร ทำให้อัตราผู้เสี่ยงที่จะเกิดโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลังเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ โรงพยาบาลจึงจำเป็นต้องหาทางรองรับความต้องการของผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น โดยการขยายการรักษาด้านกระดูกและข้อ ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยจะเปิดตัวโรงพยาบาลใหม่ในชื่อว่า” โรงพยาบาลเอส โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกสันหลังและข้อ(S Spine & Joint Hospital)”ในช่วงประมาณเดือน กรกฎาคม 2568 ด้วยการลงทุนสูงถึงประมาณ 6 พันล้านบาท เพื่อตอบสนองจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นและรองรับมาตรฐานการรักษาระดับสากล ซึ่งโรงพยาบาลแห่งใหม่นี้ จะสามารถรองรับผู้ป่วยได้มากกว่าเดิม 4 เท่า พร้อมนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย มาใช้ในการรักษา รวมถึงยกระดับมาตรฐานการให้บริการเพื่อตอบโจทย์การเป็น Medical Hub ของไทยอย่างเต็มรูปแบบ
“เราเชื่อในคอนเซ็ปต์ Bring back quality time ซึ่งการที่สังคมไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอีก2-3ปีข้างหน้า สอดคล้องกับคอนเซ็ปต์นี้ เพราะการมีอายุยืนยาว ต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย และหากเจ็บป่วยเรื่องกระดูกก็จะมีผลต่อคุณภาพชีวิต การรักษาที่ถูกจุดจะ เป็นการคืนเวลา คุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อเพิ่มเวลาแห่งความสุขให้มากขึ้น”
เทคโนโลยีและเครื่องมือที่ทันสมัย นี้ถือว่าเป็นไฮไลต์ และจุดเด่น ของโรงพยาบาลแห่งใหม่ 1. การผ่าตัดส่องกล้อง หรือเรียกว่าเป็นการผ่าตัดส่องกล้อง Endoscopic Spine Surgery แบบครบวงจร ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยและช่วยให้การรักษาโรคกระดูกสันหลังมีประสิทธิภาพมากขึ้น การผ่าตัดแบบนี้ช่วยลดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อโดยรอบ ลดอาการปวดหลังผ่าตัด และทำให้ฟื้นตัวได้เร็วกว่าการผ่าตัดแบบเปิดแบบดั้งเดิม ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ภายใน 1 วัน และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วขึ้น 2. Minimally Invasive Surgery (MIS) – ผ่าตัดแผลเล็ก ลดภาวะแทรกซ้อน ซึ่งเป็นเทคนิคที่ลดขนาดของแผลผ่าตัดให้เล็กลง ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็ว ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน และลดโอกาสเกิดพังผืดหลังการผ่าตัด ซึ่งเหมาะสำหรับการรักษา เช่น การเปลี่ยนข้อเข่าและข้อสะโพกเทียม ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น
3. เครื่อง MRI แบบยืน (Standing MRI) หรือวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำและครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา โรงพยาบาลเอส นำเข้าเครื่อง MRI แบบยืน (Standing MRI) เครื่องแรกของประเทศไทย ซึ่งช่วยให้แพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยโรคได้แม่นยำขึ้นกว่าการตรวจ MRI แบบเดิม เนื่องจากสามารถประเมินการทำงานของกระดูกสันหลังในท่าทางที่ใกล้เคียงกับการใช้งานจริง ไม่ว่าจะเป็นท่ายืน นั่ง หรือก้มเงย ทำให้สามารถตรวจพบปัญหาเกี่ยวกับหมอนรองกระดูกสันหลังที่อาจไม่แสดงอาการในขณะนอนตรวจแบบเดิม
ในส่วนที่ 4 ศูนย์กายภาพบำบัดครบวงจร ทันสมัย รองรับการฟื้นฟูผู้ป่วยหลังการผ่าตัดกระดูกสันหลังและข้อ รวมถึงผู้ที่มีอาการปวดจากโรคกล้ามเนื้อและกระดูก โดยมีบริการที่ครอบคลุม เช่น การฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายหลังผ่าตัด กายภาพบำบัด โดยใช้เทคนิค Shockwave Therapy, Hydrotherapy และ High-intensity Laser Therapy การฝึกเดินด้วยระบบหุ่นยนต์ (Robotic Gait Training) สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านการเดิน
ในแผนของโรงพยาบาลเอสฯ ยังไม่ได้มีเพียงการขยายบริการด้วยการเปิดโรงพยาบาลแห่งใหม่ แต่ยังเพิ่มการบริการ”การรักษาความพิการ”ด้วย โดยปรับโรงพยาบาลเอส สไปน์ (สาขาเดิม) ทั้งในแง่ภาพลักษณ์ โดยเปลี่ยนชื่อเป็น “โรงพยาบาล เอส โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านระบบประสาท และรักษาความพิการ ” (S Nerve Hospital)
นายแพทย์ดิตถพงษ์ กล่าวว่า โรงพยาบาล เอส โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านระบบประสาท และรักษาความพิการ นี้เป็นโรงพยาบาลไม่กี่แห่งในโลก ที่สามารถรักษาความพิการที่เกิดจากอุบัติเหตุ หรือเกิดจากโรคหลอดเลือดทางสมองได้ ซึ่งโรงพยาบาลมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและกล้ามเนื้ออย่างลึกซึ้ง เช่น หากคนไข้มีปัญหาไม่สามารถเดินได้ จากอุบัติเหตุ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ก็จะมีการรักษาโดยการตัดต่อย้ายกล้ามเนื้อส่วนที่ดีมาไว้ส่วนที่เสียหาย ก็ทำให้สามารถเดินได้อีกครั้ง หรือในกรณีเส้นประสาทเสียหาย ก็จะมีการตัดต่อเส้นประสาทใหม่โดยการรักษาจะมีเครื่องมือพิเศษโดยเฉพาะ และสามารถรักษาสามารถใช้ได้กับคนไข้ที่เคยได้รับการผ่าตัดรักษาความพิการมาแล้ว หรือคนไข้ที่เป็นโรคสมอง ไขสันหลัง ระบบประสาท ที่ไม่เคยผ่าตัด แต่ต้องการการรักษาด้านกายภาพขั้นสูง เพื่อลดความพิการให้ได้มากที่สุด
“การรักษาโรคที่ทำให้เกิดความพิการ แบบนี้ มีโรงพยาบาลไม่กี่แห่งในโลกที่ทำได้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญของเราได้ผ่านการฝึกอบรมจากโรงพยาบาลดังกล่าวมาแล้ว นอกจากนี้ ความพิการที่ไม่ว่าจะเกิดจากสโตรก หรืออุบัติเหตุ จะมีGolden period หรือช่วงเวลาทอง 6 เดือนแรก ของการรักษาหรือฟื้นฟู ซึ่งจะทำให้การรักษาได้ผล มากกว่าหลัง 6เดือนไปแล้ว ผลการรักษาอาจไม่ได้ทำให้กลับคืนมา 100 % เหมือนก่อนป่วย แต่จะทำให้เขาสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เป็นการ คุณภาพชีวิตให้กับเขาและคนรอบข้าง รวมทั้งการทำกายภาพบำบัดครบวงจร เป็นกายภาพบำบัดขี้นสูง เพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุดในการฟื้นฟูความพิการ ”
นายแพทย์ดิตถพงษ์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ โรงพยาบาล ยังพร้อมจะพัฒนาศูนย์เฉพาะทางใหม่ๆ ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ เพื่อเข้าสู่การเป็นกลุ่มโรงพยาบาลเฉพาะทาง (Group of Specialty Hospital) ซึ่งนอกจากการรักษาความพิการแล้ว เรายังมีความสนใจโรคอื่นๆ เช่น โรคพาร์กินสัน ที่ปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ๆทันสมัยในการรักษา
รวมทั้ง โรงพยาบาลยังมี S Academy ศูนย์วิชาการเฉพาะทาง เพื่อวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้านระบบประสาท กระดูกสันหลัง และข้อ รวมถึงจัด Master Class เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้ความรู้แก่บุคลากรทางการแพทย์และประชาชน
แม้จะเป็นโรงพยาบาลเอกชน แต่นายแพทย์ดิตถพงษ์ ยืนยันว่า โรงพยาบาลมีนโยบายที่จะให้คนทุกระดับชั้นเข้าถึงการรักษาของโรงพยาบาลได้ ค่ารักษาพยาบาลอาจจะมีราคาไม่เกินเอื้อม เพราะโรงพยาบาลมีนโยบายไม่เน้นความหรูหรา แต่เน้นการรักษาที่ได้ผล และทำให้คนไข้กลับบ้านได้อย่างสบายใจ
“เราไม่เน้นความหรูหราอะไรต่างๆ แต่เราเน้นประสิทธิภาพการรักษา โรงพบาลใหม่เราจะเพิ่มหมอจาก 14คน เป็น 30 คน หมอของเราบางคนไปอบรมที่ต่างประเทศ หรือบางครั้งเราก็เชิญผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศมาเทรนด์ และเรายังมีศูนย์ให้ข้อมูลกับผู้ที่สนใจ โดย S Academy ศูนย์วิชาการเฉพาะทาง จะทำหน้าที่นี้ เพื่อเป็นแหล่งความรู้ที่ช่วยให้คนไทยดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างถูกต้อง โดยที่ไม่ต้องมารักษากับผมก็ได้ แต่ขอให้ได้นำความรู้จากเว็บไซต์ของเราไปใช้ เพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพของตัวเอง”นายแพทย์ดิตถพงษ์กล่าว.