ได้คำตอบแล้ว ปมเลือดที่พื้นห้องขัง ผกก.โจ้ รอคลิปบันทึกการสนทนา หลังเจ้าตัวโวยวายขณะญาติมาเยี่ยม เตรียมจำลองเหตุในเรือนจำ ให้ศพเล่าเรื่อง เผยความผิด พ.ร.บ.อุ้มหาย
วันที่ 12 มี.ค.68 พล.ต.ต.เจษฎา สวยสม ผบก.น.2 เปิดเผยความคืบหน้า การสืบสวนสอบสวนคดีการเสียชีวิตของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผกก.โจ้ ว่า เบื้องต้นเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตนได้ไปร่วมหารือกับเจ้าหน้าที่เรือนจำกลางคลองเปรม และได้เร่งรัดให้สอบสวนปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องภายในเรือนจำทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นผู้คุมแดน 5 และแดน 7, ผู้ดูแล, แพทย์, เจ้าหน้าที่เวชระเบียน, ผู้ต้องขังที่เห็นเหตุการณ์ และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเช้าวันนี้ได้สอบปากคำพยานไปแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปาก เป็นเจ้าหน้าที่ผู้คุมและผู้ต้องขังห้องใกล้เคียง แต่รายละเอียดอยู่ในสำนวน
นอกจากนี้ ยังได้ยกเซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิดต้นฉบับทั้งหมดของเรือนจำ ที่ครอบคลุมตั้งแต่ก่อนวันเกิดเหตุจนถึงวันเกิดเหตุ ซึ่งแพ็คเรียบร้อยอยู่ในสภาพเดิมที่กรมราชทัณฑ์ส่งมา ส่งไปให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบว่ามีการแก้ไขดัดแปลงหรือตัดต่อกล้องวงจรปิดหรือไม่ คาดว่าต้องใช้ระยะเวลาสักพัก
ส่วนกรณีคราบเลือดต้องสงสัยบนพื้นห้องขังนั้น เจ้าหน้าที่ได้เปรียบเทียบกล้องวงจรปิดและภาพนิ่ง ทั้งก่อนและหลังการชันสูตรพลิกศพ ผกก.โจ้ แล้ว พบว่าเป็นคราบเลือดที่เกิดขึ้นในขณะพลิกร่างขณะชันสูตรเบื้องต้น เนื่องจากก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเข้าไปตรวจศพ ไม่พบคราบเลือดที่พื้น แต่มาพบหลังชันสูตรแล้ว ซึ่งตรวจสอบแล้ว ไม่ใช่เลือดสด แต่เป็นของเหลวที่ไหลออกมาหลังการเสียชีวิตจากบาดแผลสัตว์กัดแทะ และไปเปื้อนพื้นห้องขัง แต่รายละเอียดประเด็นเลือดต้องรอผลทางนิติวิทยาศาสตร์อีกครั้ง
สำหรับประเด็นที่สังคมสนใจว่า ผกก.โจ้ มีปากเสียงหลังพูดคุยกับครอบครัวที่เข้าไปเยี่ยมจนอาจเป็นแรงกดดันทำให้จบชีวิตตนเองหรือไม่นั้น เบื้องต้นจากการสอบปากคำพยานในขณะนี้ ยังไม่พบความขัดแย้งหรือปัญหาในครอบครัว ผกก.โจ้ อย่างไรก็ตามจะต้องรอรายงานผลสอบปากคำพยานทั้งหมด ส่วนภาพวงจรปิดและคลิปบันทึกการสนทนาระหว่างเยี่ยมญาตินั้น ตำรวจได้ประสานขอจากเรือนจำไปแล้ว ซึ่งถือเป็นวัตถุพยานที่จะต้องนำมาตรวจสอบทั้งหมด
ทั้งนี้ จะต้องเข้าไปจำลองเหตุภายในเรือนจำควบคู่กันไป โดยเน้นย้ำว่าการสืบสวนครั้งนี้ “ต้องให้ศพเล่าเรื่อง” เพราะหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์ไม่โกหก ซึ่งสำนวนการชันสูตรพลิกศพภายใน 30 วันจะต้องมีความชัดเจนว่า “สาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากอะไรหรือใครทำให้ตาย” และจะต้องดูเจตนาผลกระทบที่อาจส่งผลต่อการเสียชีวิตด้วย ซึ่งตำรวจก็ติดตามกระแสข่าวและข้อสงสัยต่างๆ ที่ปรากฎในโซเชียลมีเดียอยู่ตลอด ยืนยันว่า ตำรวจสืบสวนในทุกประเด็นมากกว่าที่สังคมสงสัยแน่นอน
นอกจากนี้ พล.ต.ต.เจษฎา ยังยืนยันด้วยว่า ความผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ นั้น แม้ว่าจะเป็นการฆ่าตัวตาย แต่หากถูกกดดันจากภายนอก ลดคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือกระทบสิทธิเสรีภาพของบุคคล ก็เข้าข่ายความผิดแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องลงมือทำร้ายร่างกาย ส่วนการแจ้งข้อหานั้น เป็นเรื่องของอัยการหรือคณะอนุกรรมการกลั่นกรองข้อเท็จจริงกรณีการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย สำหรับประเด็นที่จะเอาผิดเรื่องการทำลายพยานหลักฐานจากการนำศพลงมาจากผ้าหรือไม่นั้น ต้องสอบสวนและดูที่เจตนาเป็นหลัก