เปิดที่มา รอยเลือดบนพื้นห้องขัง อดีตผกก.โจ้ คุกคลองเปรม เกิดจาก พลิกร่างชันสูตรเบื้องต้น
GH News March 12, 2025 07:40 PM

เผยปมสงสัย เลือดบนพื้นห้องขัง อดีตผกก.โจ้ เกิดจาก พลิกร่างขณะชันสูตรเบื้องต้น

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 12 มีนาคม ที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 (บก.น.2) พล.ต.ต.เจษฎา สวยสม ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 เปิดเผยความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนคดีการเสียชีวิตของ “อดีตผู้กำกับโจ้” ว่า เบื้องต้นเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตนได้ไปร่วมหารือกับเจ้าหน้าที่เรือนจำกลางคลองเปรม และได้เร่งรัดให้สอบสวนปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องภายในเรือนจำทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้คุมแดน 5 และแดน 7, ผู้แล, แพทย์, เจ้าหน้าเวชระเบียน, ผู้ต้องขังที่เห็นเหตุการณ์ และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยได้มีการสอบปากคำพยานไปแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปาก เป็นเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังห้องใกล้เคียง

นอกจากนี้ยังได้ยกเซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิดต้นฉบับทั้งหมดของเรือนจำ ไม่เฉพาะวันเกิดเหตุ ซึ่งแพคเรียบร้อยอยู่ในสภาพเดิมที่กรมราชทัณฑ์ส่งมา ไปให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบว่ามีการแก้ไขดัดแปลง ตัดต่อกล้องวงจรปิดหรือไม่

ส่วนกรณีคราบเลือดต้องสงสัยบนพื้นห้องขัง “อดีตผู้กำกับโจ้” นั้น เจ้าหน้าที่ได้เปรียบเทียบกล้องวงจรปิด ภาพนิ่งก่อนและหลังการชันสูตรพลิกศพ “อดีตผู้กำกับโจ้” แล้ว พบว่าเป็นคราบเลือดที่เกิดจากการพลิกร่างขณะชันสูตรเบื้องต้น เนื่องจากก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเข้าไปตรวจศพ ไม่พบคราบเลือด และมาพบหลังชันสูตรแล้ว ซึ่งตรวจสอบแล้ว ไม่ใช่เลือดสด แต่เป็นของเหลวที่ไหลออกมาหลังการเสียชีวิต จากบาดแผลสัตว์กัดแทะ และไปเปื้อนพื้นห้องขัง

ส่วนประเด็นที่สังคมสนใจ ว่า “อดีตผู้กำกับโจ้” มีปากเสียงหลังพูดคุยกับครอบครัวที่เข้าไปเยี่ยม จนอาจเป็นแรงกดดันให้จบชีวิตตนเองหรือไม่นั้น เบื้องต้นจากการสอบปากคำพยานใน ขณะนี้ยังไม่พบความขัดแย้ง หรือปัญหาครอบครัว อย่างไรก็ตามจะต้องรอรายงานผลสอบปากคำพยานทั้งหมด รวมถึงผลการตรวจสอบกล้องวงจรปิดก่อน ส่วนคลิปบันทึกการสนทนาระหว่างเยี่ยมญาตินั้น ทางตำรวจได้ประสานเรื่องขอคลิปดังกล่าวจากเรือนจำไปแล้ว ซึ่งถือเป็นวัตถุพยานที่จะต้องนำมาตรวจสอบทั้งหมด

ทั้งนี้จะต้องมีการเข้าไปจำลองเหตุภายในเรือนจำด้วย โดยต้องให้ศพเล่าเรื่อง เพราะหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์ไม่โกหก ซึ่งสำนวนการชันสูตรพลิกศพ ภายใน 30 วัน จะต้องมีความชัดเจนว่าสาเหตุการณ์เสียชีวิตเกิดจากอะไร หรือใครทำให้ตาย และจะต้องดูเจตนาผลกระทบที่อาจส่งผลต่อการเสียชีวิตด้วย ซึ่งทางตำรวจก็มีการติดตามกระแสข่าวและข้อสงสัยต่างๆ ที่ปรากฏในโซเชียลมีเดียอยู่ตลอด โดยยืนยันว่าตำรวจสืบสวนในทุกประเด็นมากกว่าที่สังคมสงสัยแน่นอน

นอกจากนี้ พล.ต.ต.เจษฎายังยืนยันด้วยว่า ความผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯนั้น แม้ว่าจะเป็นการฆ่าตัวตาย แต่หากถูกกดดันจากภายนอก ลดคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กระทบสิทธิเสรีภาพของบุคคล ก็เข้าข่ายความผิดแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องลงมือทำร้ายร่างกาย ส่วนการแจ้งข้อหานั้นเป็นเรื่องของอัยการหรือคณะอนุกรรมการกลั่นกรองข้อเท็จจริงกรณีการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.