พาณิชย์ แนะผู้ส่งออกใช้ประโยชน์ เวียดนาม ลดช่องโหว่อีคอมเมิร์ซ
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม น.ส.สุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า กรมได้มอบนโยบายให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ ทำการสำรวจลู่ทางการค้า และโอกาสการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศที่ประจำอยู่ ตามนโยบาย นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ล่าสุด ได้รับรายงานจาก น.ส.อุษาศรี เขียวระยับ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครโฮจิมินห์ เวียดนาม ถึงความคืบหน้าของรัฐบาลเวียดนามที่ออกกฎหมายอีคอมเมิร์ซใหม่ เพื่อปิดช่องโหว่ของกฎระเบียบเดิม และหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจดิจิทัล และโอกาสของไทยในการใช้ช่องทางอีคอมเมิร์ซในการขายสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดเวียดนาม
โดยทูตพาณิชย์ รายงานว่า ขณะนี้กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (MoIT) ของเวียดนาม ประกาศแผนออกกฎหมายอีคอมเมิร์ซฉบับสมบูรณ์ เพื่อวางรากฐานทางกฎหมายที่ชัดเจนและแข็งแกร่งรองรับการเติบโตของภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยกฎหมายฉบับใหม่นี้ มุ่งแก้ไขช่องโหว่ของกฎระเบียบเดิม พร้อมปรับให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและรูปแบบธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
นางสาวสุนันทา กล่าวว่า โดยจะให้คำจำกัดความที่ชัดเจนเกี่ยวกับแพลตฟอร์มดิจิทัลและแพลตฟอร์มตัวกลาง เพื่อขจัดความคลุมเครือและสร้างมาตรฐาน และยังมีการกำหนดกฎเกณฑ์ที่ครอบคลุมทุกด้านของกิจกรรมอีคอมเมิร์ซ พร้อมระบุสิทธิและหน้าที่ของผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อให้ครอบคลุมทุกรูปแบบธุรกิจและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถจัดการกับปัญหาการจำหน่ายสินค้าหรือบริการที่ผิดกฎหมาย และลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูลและความมั่นคงทางไซเบอร์ อีกทั้งยังมีมาตรการรับรองความเป็นธรรมและความน่าเชื่อถือของบริการสัญญาอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อทำให้กระบวนการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะเสนอกฎหมายต่อสภาแห่งชาติในเดือนตุลาคม 2568 และคาดว่าจะได้รับอนุมัติภายในเดือนพฤษภาคม 2569
ทั้งนี้ ตลาดอีคอมเมิร์ซของเวียดนามเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยขึ้นแท่นเป็นตลาดใหญ่เป็นอันดับสามในอาเซียนในปี 2567 และติดอันดับที่ห้าของโลกในแง่อัตราการเติบโตในปี 2565 มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซแบบ B2C เพิ่มขึ้นจาก 2,970 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2557 เป็น 20,500 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2566 มีอัตราการเติบโต 20–30% ต่อปี และในปี 2567 แตะระดับ 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วน 9% ของรายได้รวมจากสินค้าหรือบริการของประเทศ
สำหรับ Shopee เป็นแพลตฟอร์มครองตลาดด้วยกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกและโปรโมชันที่ดึงดูดผู้บริโภค ขณะที่ Tiki , Sendo และ Lazada Vietnam เป็นผู้เล่นหลักในตลาด โดย Tiki มีจุดเด่นด้านเครือข่ายโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง ส่วน Sendo มุ่งเน้นเจาะกลุ่มตลาดในเขตชนบท แพลตฟอร์มระดับโลกอย่าง Amazon และ AliExpress ของ Alibaba แม้จะมีบทบาทในตลาดเวียดนาม แต่ก็ต้องเผชิญกับการแข่งขันจากผู้เล่นท้องถิ่นและระดับภูมิภาค ทั้งนี้ ด้วยโครงสร้างประชากรที่อายุน้อยและมีความคล่องตัวสูง กว่า 70% ของการซื้อสินค้าออนไลน์ในเวียดนามดำเนินการผ่านอุปกรณ์มือถือ โดยสินค้ายอดนิยม ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า แฟชั่นผลิตภัณฑ์ความงาม และเครื่องใช้ในบ้าน
น.ส.สุนันทา กล่าวว่า จากการปรับปรุงกฎหมายอีคอมเมิร์ซ ทำให้ตลาดอีคอมเมิร์ซในเวียดนามมีโอกาสเติบโตสูงมาก อีกทั้งประชากรในเวียดนามกว่า 60% ยังมีการซื้อขายออนไลน์ มีมูลค่าการใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 400 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี ทำให้อีคอมเมิร์ซกลายเป็นช่องทางการซื้อขายหลัก โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ เช่น กรุงฮานอยและนครโฮจิมินห์ ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่พร้อมรองรับการเติบโตของตลาดดิจิทัล ทำให้เวียดนามเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งมองเห็นโอกาสในการขยายตลาดผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ทันสมัย
“โอกาสทางธุรกิจจากการขยายตัวของอีคอมเมิร์ซ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงบริษัทข้ามชาติเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ของเวียดนาม รวมถึงผู้ประกอบการจากต่างประเทศ สามารถใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าและบริการของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอีคอมเมิร์ซจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่และขยายขอบเขตทางภูมิศาสตร์ได้อย่างกว้างขวางในเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงและยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง” น.ส.สุนันทากล่าว