เมื่อวันที่ 13 มีนาคม นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คณะกรรมการพิจารณาค่ารักษาพยาบาลของสวัสดิการรักษาพยาบาลของประเทศไทย โดยมี โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ว่า ในการประชุมนัดแรกเมื่อวานนี้ (11 มี.ค.) ได้มีการตั้งอนุกรรมการ 2 ชุดมาขับเคลื่อน โดยชุดแรกจะเป็นอนุกรรมการฝ่ายวิชาการ ที่มี ดร.นพ.วิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร เป็นประธาน และชุดขับเคลื่อนนโยบาย ที่มี ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นประธาน นอกจากนั้น ยังมีมติให้เร่งดำเนินการ 2 มาตราหลัก ได้แก่ 1.ศึกษางบประมาณด้านการรักษาพยาบาลในภาพรวมของประเทศ และ 2.การนำเข้ายามาใช้ในระบบสุขภาพภาครัฐ โดยที่ประชุมไม่ได้กำหนดกรอบในการดำเนินงาน แต่ท่านประธานฯ ให้นโนบายว่าหากเรื่องใดเสร็จก่อนสามารถนำเสนอก่อนได้เลย จึงคาดว่า 2 เรื่องดังกล่าวจะเป็นสิ่งที่ทำได้สำเร็จก่อน
นพ.จเด็จ กล่าวว่า มาตราที่ 1 การศึกษางบประมาณด้านการรักษาพยาบาล แม้ว่า สปสช. จะได้รับมอบหมายให้เป็นแม่งาน แต่เรื่องนี้จะต้องทำงานร่วมกันกับหน่วยงานอื่นด้วย แต่ยืนยันว่าไม่ใช่เป็นการรวมกองทุนสุขภาพ โดยแนวคิดหลักคือ หากจะกำหนดงบประมาณภาพใหญ่ของประเทศ แต่ละหน่วยงานจะต้องช่วยกันดู ว่าจะทำงานร่วมกันอย่างไรและปรับประสิทธิภาพอย่างไรไม่ให้กระทบสิทธิประโยชน์ของแต่ละกองทุน
นพ.จเด็จ กล่าวว่า มาตราที่ 2 การนำเข้ายามาใช้ในระบบสุขภาพของภาครัฐ เนื่องจากปกติแล้วยาจะมีการเรียกอยู่สองชื่อคือ 1.ชื่อสามัญ ที่เรียกตามชื่อสารเคมีหลักในยา และ 2.ชื่อทางการค้า ที่ถูกกำหนดโดยผู้ผลิตยา ซึ่งในยานั้นอาจเป็นสารเคมีเดียวกัน แต่เรียกคนละชื่อ โดยหลักสำคัญคือ แม้ว่ายาที่มีชื่อทางการค้าต่างกัน แต่มีตัวยาเดียวกัน ก็ทำให้มีราคาต่างกัน เช่น ยาในกลุ่มลดไข้ บรรเทาอาการปวดเล็กน้อยถึงปานกลาง มียาที่ใช้ชื่อสามัญว่า “ยาพาราเซตามอล” แต่ก็มีหลายผู้ผลิตตั้งชื่อยาทางการค้าใหม่ ทำให้ราคาต่างกัน แต่ประสิทธิภาพ ผลลัพธ์เท่ากัน ทั้งนี้ มีการศึกษาทั่วโลกพบว่าการใช้ยาชื่อสามัญ (Generic) จะช่วยลดค่าใช้จ่ายไปได้อย่างมาก
”จากเดิมที่แพทย์สั่งยาแบบระบุชื่อทางการค้า หากมีการประกาศเป็นนโยบายที่ชัดเจนแพทย์ก็จะต้องสั่งยาโดยระบุชื่อสามัญ จากนั้นห้องยาจะเป็นคนพิจารณาในการจ่ายยาตามยาสามัญ ก็จะส่งผลให้การจัดซื้อยาของโรงพยาบาลต่างๆ ลดปริมาณลง จากเดิมที่มียาเดียวกันในหลายยี่ห้อ อาจมียาพาราเซตามอล 5 ยี่ห้อ ต่อจากนี้ ก็จะซื้อเพียงหนึ่งยี่ห้อด้วยยาสามัญ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายโรงพยาบาลไปได้มาก จึงต้องขอความร่วมมือจากโรงพยาบาลด้วย“ นพ.จเด็จ กล่าว
นพ.จเด็จ กล่าวต่อว่า การใช้ยาในชื่อสามัญ ทุกหน่วยควรรับนโยบายนี้ไปทำ เพื่อให้เกิดการใช้ชื่อสามัญ เพราะเราเชื่อว่าแค่การประกาศให้ใช้ชื่อสามัญทั้งระบบ อาจช่วยประหยัดงบประมาณได้ถึงหมื่นล้านบาท และยิ่งถ้ามีการจัดซื้อยาด้วยระบบที่รัฐเข้าไปสนับสนุนจัดซื้อจากผู้ผลิตเดียว ก็จะนำไปสู่การต่อรองราคา ให้ได้ราคาถูกลง รวมถึงระยะถัดไปก็จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการลงทุนตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย เกิดการจ้างงานได้อีกด้วย
เมื่อถามว่าการทำลักษณะเช่นนี้ จะไม่เกิดการผูกขาดตลาดยาเพียงบริษัทเดียวหรือไม่ นพ.จเด็จ กล่าวว่า เรื่องนี้เราต้องระวัง แต่เราคงไม่ได้ทำในทุกยา โดยจะต้องมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาว่าควรทำในยาตัวใดบ้าง ขณะเดียวกัน ยารักษาโรคบางตัวที่มีการซื้อมาจากผู้ผลิตเดียวอยู่แล้ว อาจจะต้องมีระบบการต่อรองในภาพใหญ่ของประเทศ อาจให้ทุกกองทุนสุขภาพมาซื้อยาตัวนี้รวมกัน เพื่อให้ได้ราคาที่ถูกลง
ถามต่อว่า หากดำเนินการเรื่องนี้ได้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำของการรับยาในผู้ป่วยในแต่ละกองทุนหรือไม่ นพ.จเด็จ กล่าวว่า มองในมุมนี้ก็ได้เช่นกัน แต่ต้องสื่อสารสู่สาธารณะให้ดีท เพื่อให้สิ้นสงสัยกับความเป็นชื่อยาสามัญ เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน แต่โดยนโยบายถ้าประหยัดตรงนี้ได้ก็จะมีเงินไปทำอย่างอื่น
เมื่อถามว่าหากเรื่องนี้สำเร็จจะช่วยให้รัฐ ประหยัดงบได้อย่างไร นพ.จเด็จ กล่าวว่า งบประมาณภาครัฐ 3.6 แสนล้านบาท ครึ่งหนึ่งถูกนำมาใช้ในการซื้อยา โดยสัดส่วนกว่าร้อยละ 60 เป็นการซื้อยาตามชื่อทางการค้า ซึ่งในครึ่งหนึ่งนี้อาจจะเป็นการซื้อยาที่มีเพียงผู้ผลิตเดียวอยู่แล้ว แต่ที่แน่ๆ คือราวๆ ร้อยละ 30 ที่สามารถปรับมาใช้เป็นการซื้อยาตามชื่อสามัญได้ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณ 7-8 หมื่นล้าน
“อย่างน้อยระยะแรกที่ดำเนินการก็อาจจะลดการซื้อยาตามชื่อทางการค้าได้ประมาณ 20% ก็จะช่วยประหยัดงบได้ถึง 2 พันล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนนี้สูงมาก สามารถนำไปบริหารงานส่วนอื่นได้อีกมาก” นพ.จเด็จ กล่าว