ผ่านพ้นไปแล้ว สำหรับ การเลือกตั้งทั่วไปของ “กรีนแลนด์” พื้นที่ที่มีฐานะ “ดินแดนปกครองตนเอง” ของประเทศเดนมาร์ก
นอกจากนี้ กรีนแลนด์ยังกล่าวได้ว่า เป็นดินแดนที่อยู่ทางเหนือสุดของโลก และมีสภาพเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกต่างหากด้วย โดยมันตั้งอยู่ในมหาสมุทรอาร์กติก ส่วนประชากรของเกาะแห่งนี้ ก็มีจำนวนเพียง 57,000 คนเท่านั้น
สำหรับ การเลือกตั้งทั่วไปของกรีนแลนด์ เพื่อเลือกสมาชิกรัฐสภาท้องถิ่นของกรีนแลนด์ ก็มีขึ้นเมื่อช่วงกลางสัปดาห์นี้ ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมา การเลือกตั้งบนดินแดนแห่งนี้ หรือแม้แต่กิจกรรมอื่นๆ ไม่ได้เป็นที่สนใจของประชาคมโลกมากนัก
จนกระทั่งเมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ฝีปากกล้า เอ่ยปากถึงความสนใจที่จะได้ครอบครองเกาะแก่งแห่งนี้ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ได้พูดไว้ก่อนหน้า และแถมมาเน้นย้ำถึงความปรารถนาที่จะให้กรีนแลนด์เป็นดินแดนส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ ระหว่างแถลงในการประชุมร่วมสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ หรือสภาคองเกรส เมื่อไม่กี่วันก่อน ก็ยิ่งส่งผลให้ประชาคมโลกต่างหันมาจับตาจ้องมองกรีนแลนด์อย่างฉับพลันทันใดในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเลือกตั้งทั่วไปที่เพิ่งจบสิ้นไปนั้น เนื่องจากสามารถชี้ชะตาของกรีนแลนด์ได้เลยทีเดียวนั่นเอง
ในการเลือกตั้งของกรีนแลนด์ครั้งนี้ ซึ่งจะเลือกสมาชิกสภานิติบัญญัติ จำนวน 31 ที่นั่ง ก็มีพรรคการเมืองหลักๆ เข้าร่วมชิงชัยหลายพรรคด้วยกัน ได้แก่
“พรรคอินูอิต อาตากาติกิอิอิต” หรือ “พรรคชุมชนแห่งประชาชน” โดยพรรคการเมือง จะถือว่าเป็นพรรครัฐบาลปัจจุบันของกรีนแลนด์ก็ว่าได้ เพราะครองเสียงข้างมากในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว จนได้บริหารปกครองกรีนแลนด์ ตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
แนวนโยบายของพรรคข้างต้นนั้น ก็จัดว่าเป็นแบบสังคมนิยม หรือฝ่ายซ้าย และมีนโยบายสนับสนุนการแยกกรีนแลนด์เป็นเอกราชจากเดนมาร์ก
ตามมาด้วย “พรรคเดโมคราติก” หรือ “พรรคประชาธิปไตย” โดยพรรคนี้ถือว่าเป็นฝ่ายค้าน มีแนวนโยบายแบบกลาง-ขวา และสนับสนุนการแยกกรีนแลนด์เป็นเอกราชจากเดนมาร์กเช่นกัน
“พรรคนาเลรัก” เป็นอีกหนึ่งพรรคฝ่ายค้านเช่นกัน มีแนวนโยบายแบบสายกลาง ประชานิยม และสนับสนุนการแยกกรีนแลนด์เป็นเอกราชจากเดนมาร์ก
ทั้งนี้ มีข้อน่าสังเกตว่า พรรคการเมืองทั้ง 3 พรรค ล้วนมีนโยบายแยกกรีนแลนด์เป็นเอกราชจากเดนมาร์กเหมือนกันทุกพรรค โดยมีความแตกต่างในรายละเอียดว่า จะแยกกรีนแลนด์เป็นเอกราชกันอย่างไรเท่านั้น ทว่า ก็สะท้อนให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่า กรีนแลนด์ปรารถนาที่จะแยกตัวเป็นเอกราชจากเดนมาร์กมากน้อยเพียงใด
นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 พรรคการเมืองเข้าร่วมชิงชัย นั่นคือ พรรคซิอูมุต และพรรคอาตุสซุต
ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า เกิดปรากฏการณ์ฟ้าเปลี่ยนสีที่กรีนแลนด์ เมื่อ “พรรคเดโมคราติก” ฝ่ายค้าน ได้ผลักให้ “พรรคอินูอิต อาตากาติกิอิอิต” ที่เป็นพรรครัฐบาลบริหารปกครองกรีนแลนด์ ณ เวลานี้ กลายไปเป็น “ฝ่ายค้าน” แทน คือ แพ้เลือกตั้ง แถมยังเป็นการพ่ายแพ้อย่างหลุดลุ่ยอีกต่างหากด้วย
โดย “พรรคเดโมคราติก” ภายใต้การนำของ “นายเจน เฟรเดริก นีลเซน” ชนะไปด้วยคะแนนเสียงคิดเป็นร้อยละ 30.26 ได้สมาชิกสภานิติบัญญัติ 10 ที่นั่ง เพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีที่แล้วถึง 7 ที่นั่ง
ส่วนพรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงตามมาเป็นอันดับที่ 2 ของการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็คือ “พรรคนาเลรัก” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพรรคฝ่ายค้าน ภายใต้การนำของ “นายเพล โบรเบิร์ก” ได้คะแนนเสียงไปที่ร้อยละ 24.77 ทำให้ได้สมาชิกสภานิติบัญญัติจำนวน 8 เสียง เพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว 4 ที่นั่ง
ขณะที่ “ พรรคอินูอิต อาตากาติกิอิอิต” พรรครัฐบาล ภายใต้การนำของ “นายมูเต บูรูป เอเกเด” ซึ่งเปรียบเสมือนผู้ดำรงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรีของกรีนแลนด์” ต้องถือว่าประสบความล้มเหลวในการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นอย่างมาก เพราะได้คะแนนเสียงไปเพียงร้อยละ 21.62 และได้สมาชิกสภานิติบัญญัติ 7 ที่นั่ง ลดลงจากเดิมในการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีที่แล้วถึง 5 ที่นั่ง
ทางด้าน “พรรคซิอูมุต” ของ “นายอีริก เจนเซน” ได้คะแนนเสียงที่ร้อยละ 14.88 พร้อมจำนวนสมาชิกสภานิติบัญญติ 4 ที่นั่ง ลดลงจากเดิมถึง 6 ที่นั่ง
ปิดท้ายด้วย “พรรคอาตุสซุต” ของ “นายอักกาลุ เจริเมียสเซน” ได้คะแนนเสียงร้อยละ 7.39 ได้สมาชิกสภานิติบัญญัติ 2 ที่นั่ง เท่าเดิมจากการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีก่อน
ผลเลือกตั้งทั่วไปของกรีนแลนด์ที่ออกมาในครั้งนี้ ดูเหมือนว่า ทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ยิ้มมุมปากด้วยพอใจอยู่มิใช่น้อย เพราะคาดว่า “นายเจน เฟรเดริก นีลเซน” อาจจะได้รั้งตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของกรีนแลนด์” ในฐานะนำพรรคเดโมคราติกชนะเลือกตั้ง
โดยเมื่อกล่าวถึงแนวนโยบายของพรรคเดโมคราติกแล้ว นอกจากจะมีนโยบายแบบกลางขวา และแยกกรีนแลนด์ออกจากเดนมาร์กแล้ว ก็ยังมีนโยบายเกี่ยวกับการส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินธุรกิจในกรีนแลนด์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของกรีนแลนด์ให้เดินหน้าไป อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งรัฐบาลของนายนีลเซน อาจจะต้องดำเนินการเจรจาต่อรองในประเด็นที่แตกต่างกับพรรคการเมืองอันดับรองอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรรคการเมืองที่ได้อันดับ 2 คือ พรรคนาเลรัก เพราะแนวนโยบายพรรคเดโมคราติก แตกต่างจากพรรคนาเลรัก แตกต่างกันอยู่พอสมควร เช่น ประเด็นเกี่ยวกับการแยกกรีนแลนด์เป็นเอกราชจากเดนมาร์ก ซึ่งพรรคเดโมคราติก ต้องการให้แยกตัวออกมาอย่างช้าๆ ขณะที่ พรรคนาเลรัก ต้องการให้แยกตัวออกมาอย่างรวดเร็ว