โลภ ลวง จัดฉากฆ่า ราวกับหนัง #สรุปม้วนเดียวจบ
จากคดีอุบัติเหตุ สู่ คดีฆาตกรรม หวังเงินประกัน 14 ล้าน
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ.68 ค่ะ
บริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนไปยัง พล.ต.ต.สมจิตร เหล่ามงคลนิมิต ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสกลนคร ขอให้ตรวจสอบเหตุ #อุบัติเหตุ ที่นายวิเชียร อายุ 32 ปี ตกจากรถกระบะ แล้วถูกรถเหยียบซ้ำ จนเสียชีวิต โดยเหตุเกิดที่ กม.ที่ 15 ต.ธาตุ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร
การตายของนายวิเชียร ผลการชันสูตร แพทย์ระบุว่า พบบาดแผลบริเวณคิ้ว หน้าแข้ง มีเพียง 2 จุดเท่านั้น
คดีนี้ตำรวจกุมผู้ต้องหาชนนายวิเชียรได้ 3 ราย คือ
นายสกล
นายพรศักดิ์
นายพีรพัฒน์
โดยตำรวจแจ้งข้อกล่าวหา ขับรถประมาทเป็นเหตุทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
แต่การตายของนายวิเชียร บริษัทประกัน คลางแคลงใจ สงสัยว่าอาจจะมีอะไรมากกว่าคำว่า อุบัติเหตุ เมื่อตรวจสอบพบว่า นายสกล อายุ 38 ปี ชายคนนี้เคยเป็นอดีตตัวแทนจำหน่ายประกันให้กับครอบครัวของนายวิเชียร เป็นคนไปขอยื่นรับเงินประกันจาก พ.ร.บ.ประกันภัยรถยนต์จากบริษัทประกันรถเอกชนจำนวนหลายแห่ง โดยมีหนังสือมอบอำนาจ จากนางจันที แม่ของนายวิเชียร
บริษัทประกัน ได้กลิ่นของความไม่ชอบมาพากล !
จึงตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง จนกระทั่งพบพิรุธหลายอย่าง
เช่น ผลชันสูตรศพ ใบมรณะบัตร ซึ่งค่อนข้างที่จะไม่สอดคล้องกันกับความเป็นจริง เพราะบนร่างกายของนายวิเชียร หากเกิดอุบัติเหตุจริงต้องมีรอยถลอกหรือรอยชน แต่ผลชันสูตรกลับมีเพียงบาดแผล 2 แห่งเท่านั้น
รวมถึงพบข้อพิรุธเรื่อง รถยนต์คันที่นายวิเชียรนั่ง มีการทำ พ.ร.บ.กรมธรรม์ประกันภัยมากถึง 12 กรมธรรม์ และรถยนต์อีก 2 คัน คู่กรณี มีกรมธรรม์คันละ 5 กรมธรรม์ โดยเป็น พ.ร.บ.ภาคบังคับ 22 กรมธรรม์ ต้องจ่ายชดเชยให้ผู้เสียชีวิตกรมธรรม์ละ 500,000 บาท และ พ.ร.บ.รถยนต์ภาคสมัครใจอีก 6 กรมธรรม์ รวมทั้งหมด 28 กรมธรรม์ ซึ่งเป็นเงินสูงถึง 14 ล้านบาท ที่บริษัทประกันภัยรถยนต์ต้องจ่ายเงินผลประโยชน์นี้ให้บิดา มารดา หรือผู้สืบสายเลือดของนายวิเชียร
ซึ่งรถยนต์กระบะคันก่อเหตุ เป็นชื่อของ นายสกล ส่วนคนรับกรมธรรม์ คือ นางพัชรี (ภรรยาของนายสมศักดิ์) และนางสมพร
พิรุธนี้ ตำรวจเริ่มแคลงใจ
เหตุการณ์นี้ เป็นอุบัติเหตุ หรือ จงใจฆ่า ?
ตำรวจไล่เรื่องเพียงนิด สอบคนใกล้ชิดเพียงหน่อย ความจริงก็เปิดเผย !
นางบัวเรียน พี่สาวของนายวิเชียร คือ กุญแจสำคัญในการไขคดีนี้ให้กับตำรวจค่ะ
บัวเรียน เธอรู้จักกับนายสกล ชายคนนี้เคยเป็นอดีตตัวแทนจำหน่ายประกัน และภายหลังจากที่พ่อนายวิเชียรประสบอุบัติเหตุจนนอนติดเตียง นายสกลก็มาให้คำแนะนำเรื่องเกี่ยวกับ พ.ร.บ. ประกันภัยรถยนต์กับครอบครัว จึงทำให้มีความสนิทใกล้ชิดกับคนในครอบครัวของนายวิเชียร
บัวเรียน เธอให้การกับตำรวจว่า เคยบ่นให้กับนายสกลฟังว่าอยากให้พาน้องชายไป สั่งสอนหน่อยเพราะทนไม่ไหวที่ชอบทำร้ายพ่อแม่เป็นประจำ แต่ก็ไม่คิดว่ากลุ่มชายฉกรรจ์นี้จะทำจริง หลังจากที่น้องชายออกจากบ้านไปวันที่ 10 ก.พ.68 ก็ได้ทราบข่าวว่าน้องเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต
ชัดเลย ! การของวิเชียร ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นการจัดฉาก
วันที่ 8 มีนาคม 2568 ศาลสว่างแดนดินได้ออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมด 4 ราย คือ นายสกล นายสมศักดิ์ นายพีรพัฒน์ และ นายพรชนก ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ก่อนจะตามจับกุมได้หมดทุกคน
หลังจากนั้น คำสารภาพจากปากผู้ต้องหา ก็ค่อยๆคลายออกจากปาก คลี่คดีไปทีละเปราะ
พรชนก เล่าเป็นฉากๆ
เมื่อวันที่ 10 ก.พ.68 ช่วงเที่ยง ที่โรงน้ำดื่มของตนเอง มีนายสกล และนายวิเชียรอยู่ด้วย ได้พากันขับรถออกไปยังร้านตัดผมไม่ไกลนัก นายสกลสั่งช่างว่าให้ตัดผมให้นายวิเชียร เอาทรงนักเรียนเพราะจะพาไปบำบัด
หลังตัดผมเสร็จแล้ว ทั้ง 2 คนก็ได้พา นายวิเชียร ไปซื้อเสื้อผ้า ก่อนจะกลับมาที่โรงน้ำดื่มที่เดิม เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เป็นสีดำ
ต่อมาเวลา 16.00 น. นายสกล นายพรชนก และ นายวิเชียร ได้ไปกินข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง นายพรชนก อ้างว่า เริ่มเห็นนายวิเชียรมีอาการเชื่องช้าในขณะที่กินข้าวอยู่ ผ่านไปสักพักเวลา 6 โมงเย็น มีสายเข้ามาที่โทรศัพท์ของนายสกล ซึ่งปลายสายคือ นายพีรพัฒน์ บอกให้นายสกลไปดูรถให้หน่อย รถเสีย จากนั้นนายสกลก็สั่งเช็คบิลแล้วรีบออกไปพร้อมทุกคนทันที
ขณะนั้น นายพรชนก สังเกตเห็นว่านายวิเชียรมีอาการมึนเมา และเจ้าตัวขอนั่งเบาะหลังของรถกระบะที่ขับกันมา โดยนายสกลให้นายพรชนกไปขับและอ้างว่าขอไปนั่งท้ายกระบะเพราะอยากดูดบุหรี่ ขับไปสักพัก นายสกลที่อยู่ท้ายกระบะเคาะกระจกเรียกให้นายพรชนกจอด และสลับกันขับอ้างว่าหนาวจะขอขับเอง โดยให้เหตุผลว่า นายพรชนกขับรถช้า
เวลาพลบค่ำ เมื่อขับมาถึงจุดรวมพลจุดที่หนึ่ง นายพรชนก เล่าว่า เห็นรถยนต์กระบะคอกขนน้ำดื่มสีขาว 2 คัน จอดรออยู่ริมถนนอยู่แล้ว นายสกลกับตนเองก็ได้เดินลงไปจากรถ ปล่อยให้นายวิเชียรอยู่บนรถกระบะเพียงคนเดียว
พอลงมาถึงพบว่ามี นายพีรพัฒน์ นายสมศักดิ์ ยืนรออยู่แล้ว พร้อมกับสังเกตุเห็นรถยนต์กระบะตำรวจ และมีตำรวจในเครื่องแบบ 1 คน ยืนอยู่ข้างรถโดยไม่พูดจาอะไรคล้ายมาสังเกตการณ์
ระหว่างรวมตัวกันนายสกลก็แบ่งหน้าที่ ว่าใครต้องทำอะไรบ้าง พร้อมกับบอกว่าจะจัดการนายวิเชียรเอง อ้างว่า ญาติของนายวิเชียรเขาไม่ว่าอะไร
นาทีนั้น นายสกลหันมาถามนายพรชนกว่า “เอาด้วยไหม?”
นายพรชนก บอกว่า ตนเองเหมือนตกกระไดพลอยโจรไปแล้ว และเห็นว่ามีพวกของนายสกลอยู่ด้วย ก็เริ่มหวาดกลัว
การจัดฉากก็เริ่มขึ้น…
นายพรชนกขับรถกระบะ โดยมีนายสมศักดิ์นั่งข้างๆ
มีนายวิเชียรนั่งอยู่ท้ายกระบะเพียงคนเดียว
ส่วนนายสกล ขับรถคอกออกไป โดยนัดเจอทุกคนที่ กม.15
เมื่อถึงจุดนัดพบ นายสมศักดิ์ก็ลากนายวิเชียรลงไปนอนคว่ำหน้าลงกลางถนน
จากนั้นนายสมศักดิ์และนายพรชนก ก็ขับรถออกไป เจอกันที่จุดนัดพบจุดที่ 3 ห่างจากจุดทิ้งนายวิเชียรไปประมาณ 500 เมตร
เรื่องราวที่นายพรชนกให้การกับตำรวจ สอดคล้องกับคำให้การของนายพีรพัฒน์ ที่ให้การก่อนหน้านี้ว่า เมื่อได้รับสัญญาณแล้ว ให้ตนเองขับรถมาเหยียบนายวิเชียรได้เลย … ใช่ค่ะ นายพีรพัฒน์ทำจริง โดยเขาอ้างว่า หลับตา กลั้นใจ ขับไปชนแต่ไม่รู้ชนนายวิเชียรหรือไม่ ?
หลังจากเสร็จภารกิจเหี้ยมแล้ว
ทุกคนก็กลับไปที่โรงงานน้ำดื่มเอารถไปเก็บก่อนที่แยกย้ายกันไป
นายพรชนก ยังเล่าอีกว่า ในขณะที่อยู่ที่จุดนัดพบจุดแรก เขาเจอตำรวจคนที่ยืนอยู่ในงานศพญาติของนายสกล เขายืนยันว่า #ตำรวจนายนี้อยู่จุดแรกรวมพลก่อนจะเกิดการจัดฉากฆ่านายวิเชียร
การซัดทอดนี้ ทำให้ตำรวจที่ถูกกล่าวหา ถึงกับร้อน !
ดอดมอบตัวกับตำรวจ สภ.วานรนิวาส ทันที
ตำรวจคนนี้ มียศ พ.ต.ท. สังกัดเดิมคือ สภ.ศรีวิชัย ได้เดินทางมามอบตัว หลังถูกออกหมายจับเป็นคนที่ 5 ของขบวนการจัดฉากฆ่า เจ้าตัวปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่เกี่ยวข้องใดใดกับการตายของนายวิเชียร โดยขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น
ขณะนี้ ตำรวจจะรื้อคดีที่ ตำรวจยศ พ.ต.ท.เป็นผู้รับผิดชอบ มาดูอย่างละเอียดอีกครั้ง หวั่นว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกครั้ง
จากอุบัติเหตุ สู่ คดีฆาตกรรมเหี้ยม
เพียงเพราะหวังเงินประกัน 14 ล้าน
จากคนโลภ สู่ คนคุก
คนทำผิดย่อมได้รับกรรมที่ก่อไว้
คดีนี้ตำรวจยังคงสืบสวนต่อไปค่ะ หากพบว่ามีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องในขบวนการนี้ ก็จะรวบรวมพยานหลักฐานแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มทันที
อีจันขอแสงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วยนะคะ