ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“...นัยความหมายแห่งชีวิต..ถือเป็นสิ่งที่ตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานแห่งเจตจำนงของจิตวิญญาณ...ที่ส่องสะท้อนความเป็นจริงออกมาอย่างบริสุทธิ์..เป็นน้ำคำที่เจิดกระจ่าง..และเป็นน้ำใจแห่งใจที่เยียวยาตัวตนให้แข็งแกร่ง..!
แท้ที่จริง..มนุษย์ทุุกคนสมควรที่จะต้องตั้งเป้าหมาย เพื่อแสวงหาสัจธรรมของความเป็นชีวิตให้แม่นตรง..และคงไม่เพียงเท่านั้น..มนุษย์ยังต้องประจักษ์ถึงการคิดหวัง..ที่จะไปให้ถึงปลายทาง..สู่การบรรลุผลแห่งความสำเร็จ..อย่างสมบูรณ์และเปี่ยมไปด้วยพลัง..ที่จักกลายเป็น..ตราประทับที่ทรงคุณค่าของ ..ชีวิต..ในที่สุด!”
ปฐมบทแห่งความคิดอันมีค่านี้..มาจากหนังสือ “สัจธรรมของชีวิต” ซึ่งเขียนโดย.. “ท่านพระไพศาล วิสาโล”ปราชญ์แห่งทางโลกและทางธรรมผู้ล้ำลึก
“..ทุกวันนี้ผู้คนปรารถนาที่จะมีชีวิตยืนยาว..แต่ที่จริงแล้ว..ลำพังการมีชีวิตยืนยาวยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดชีวิตที่ดีงามได้..” เนื่องเพราะ..ชีวิตนั้นไม่ได้เป็นเส้นตรงที่วัดกันด้วยความยาวเท่านั้น..แต่ชีวิตผู้คนเปรียบเหมือนสายน้ำที่มีทั้งความยาว ความกว้าง..และความลุ่มลึก..
“คนเรานั้น..หากเพียงแค่มีชีวิตยืนยาว แต่ถ้าไม่มีใจกว้างขวาง ไม่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่..ไม่มีความเกื้อกูลต่อมนุษย์อย่างกว้างขวางแล้ว..ก็จักเป็นชีวิตที่หาประโยชน์ไม่ได้..เป็นชีวิตที่สูญเปล่า ..ในทางตรงข้ามแม้มีชีวิตที่สั้น แต่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่..มีน้ำในวิถีแห่งสัจจะ..คนเราทุกคนย่อมปรารถนาความสุข..และหลักประกันแห่งความสุขอย่างหนึ่งก็คือ..การทำความดี มีน้ำใจ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น..อาจพูดได้ว่า..ความดีเปรียบเสมือนกำแพงหรือปราการป้องกัน.. “ความทุกข์”..หากเราไม่ต้องการมีความทุกข์ใจ หรือความคิดเดือดเนื้อ ร้อนใจ..ก็ควรต้องทำความดี..ซึ่งไม่ได้หมายถึง..การไปวัด ใส่บาตร ถวายสังฆทานเท่านั้น..แต่รวมถึงการช่วยเหลือเกื้อกูล มีน้ำใจ ต่อผู้อื่น
“หากว่าเราทำความดี..ละเว้นความชั่ว..การกระทำดังกล่าวย่อมช่วยปกป้องไม่ให้ความทุกข์ ความเดือดเนื้อร้อนใจ..มาบีบคั้นคุกคามจิตใจของเราได้... ใจกว้างขวาง..ประกอบด้วยเมตตาธรรมอันไม่มีประมาณ..ชีวิตแบบนี้ต่างหากที่น่าสรรเสริญ น่ายกย่อง"
..พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์..เคยกล่าวว่า.. “ข้าพเจ้าไม่เคยทำชั่วในที่ใดเลย จึงไม่กลัวความตายที่จะมาถึง..” และในอีกที่หนึ่งได้พูดว่า.. “เมื่อตั้งมั่นในธรรม ย่อมไม่กลัวปนโลก” ภาษิตข้อคิดดังกล่าวนี้..ถือเป็นเครื่องยืนยันว่า..ความดีเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราพบกับความสุขในวาระสุดท้ายได้..
“ความดีไม่ได้มีคุณค่าเพียงช่วยให้เรา..เผชิญความตายได้อย่างสงบ แต่ยังช่วยให้เรามีความสุขในปัจจุบัน..ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่..”
“ท่านพระไพศาล” ได้เน้นย้ำให้ตระหนักว่า..หากเราปรารถนาความพ้นทุกข์ ปรารถนาความปกติสุข จำเป็นอย่างมากที่เราต้องฝึกจิตใจให้มีความมั่นคง แม้โลกธรรมฝ่ายลบมากระทบ..ก็ไม่เศร้าโศก ไม่คร่ำครวญ ไม่มีทุกข์ ไม่เกิดความโทมนัส..และไม่คับแค้นใจ..
“เมื่อเราเกิดความทุกข์ เกิดความโศก ความคับแค้นใจ หลายคนมักจะบอกว่าเป็นเพราะเจอโลกธรรมฝ่ายลบ เจอความสูญเสีย ถูกต่อว่าด่าทอ ประสบความล้มเหลว ความเจ็บป่วย..การมองเช่นนี้เท่ากับมองว่า..เหตุแห่งทุกข์หรือสุขนั้น..อยู่นอกตัว” จะได้ข้อประจักษ์อย่างหนึ่งว่า..ความทรงจำที่เจ็บปวดซึ่งผู้คนมัวยึดถือแล้วก็บ่นว่าทุกข์..แล้วก็โทษคนอื่นเท่านั้น..แม้กระทั่งอารมณ์ที่เราไม่ชอบ..อารมณ์ที่เราไม่พอใจ เราก็กลับยึดเอาไว้..นับแต่..ความโกรธเกลียด ความโศกเศร้า..แต่พอมันเกิดขึ้นทีไรก็ยึดอารมณ์เหล่านั้น.แล้วก็เกิดความทุกข์..และบางครั้งใจก็ยังหวงแหนอารมณ์เหล่านั้นด้วยซ้ำ ..
“หลายคนที่มีความโกรธเกิดขึ้น แม้มีคนแนะนำว่าให้อภัย เขาก็จะหายโกรธหายทุกข์..แต่ก็ไม่ยอมให้อภัย..หวงแหนความโกรธเอาไว้.ไม่ยอมปล่อยมันออกไปจากใจ..”
ที่สุดแล้ว..การที่บุคคลคนหนึ่งจะตั้งมั่นในธรรมสมกับเป็นผู้ประพฤติธรรมนั้น จะต้องมีธรรมอันเป็นพื้นฐานที่มั่นคง อันประกอบด้วย “ปัญญา”..การเห็นคุณค่าหรือประโยชน์แห่งธรรม../ “สัจจะ”..ซึ่งไม่ได้แปลว่า..ความซื่อสัตย์สุจริตเท่านั้น..แต่ยังรวมความไปถึง
การดำรงมั่นในความจริงที่เข้ามาถึง หรือเห็นชัดด้วยปัญญา/ “จาคะ” คือความเสียสละ..ซึ่งมีความหมายอยู่หลายประการ ตั้งแต่เสียสละทรัพย์สินเงินทอง เวลา พละกำลัง สติปัญญา จนกระทั่งไปถึงการเสียสละกิเลส ซึ่งเป็นการสละที่ประเสริฐสุด../และ “อุปสมะ” คือความสงบเย็น..อันจัดว่าเป็นความสุขที่ประเสริฐที่เป็นยิ่งกว่า ความสุขทางวัตถุ ความสุขทางโลก หรือกามสุข..ทำให้เราเป็นอิสระจากวัตถุได้..ขณะเดียวกันก็ช่วยหล่อเลี้ยงให้เรามีกำลังใจในการทำความดี..!
“ผู้ต้องการอุทิศตนเพื่อสังคม..จำเป็นจักต้องมีธรรมสี่ประการนี้..”
“สัจธรรมแห่งชีวิต” ..คือแบบเรียนแห่งคุณค่าที่ถูกปลูกสร้างขึ้นมาด้วยความหยั่งรู้อันลึกซึ้ง..มันเป็นทั้งบทเริ่มต้นและส่งท้ายของ “ชีวิตและการจากไป” ที่ปลดปลงและเข้าใจ..
เหตุดั่งนี้..ต่อให้เราเป็นอะไรก็แล้วแต่.. “จะเป็นอยู่หรือจักต้องตายจากไป”..หากเพียงไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นคนนั้นๆ หรือหลงคิดว่านั่นคือ... “ตัวกู”..ก็จะไม่เกิดผลให้มีทุกข์หรือเป็นทุกข์ได้เลย..แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราสำคัญมั่นหมายว่าเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก เป็นคนไทย เป็นพระ เป็นนักปฏิบัติ เป็นคนเก่ง เป็นคนไม่เก่ง ..ความทุกข์ก็จะเกิดขึ้นได้..เพราะความสำคัญมั่นหมายที่ว่านั้น..เจือด้วยกิเลส..และถูกครอบงำด้วยอุปาทาน..
“..ดอกบัวเกิดในน้ำ..เจริญในน้ำ..แต่ตั้งอยู่พ้นน้ำ ไม่ถูกน้ำมาฉายติด ฉันใด ...เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน..แม้เกิดในโลก เติบโตในโลก..แต่เป็นอยู่เหนือโลก..และไม่ติดโลก..”