“สุริยะใส กตะศิลา” มองปรากฏการณ์ “ช้างชนช้าง” กระเทือน “รัฐบาลแพทองธาร” !
GH News March 15, 2025 01:06 PM

หมายเหตุ : “ผศ.ดร.สุริยะใส กตะศิลา”  คณบดีวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต  ให้สัมภาษณ์รายการ “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” ออกอากาศทางช่องยูทูบ Siamrathonline เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2568 ให้มุมมองถึงเสถียรภาพรัฐบาลผสม “แพทองธาร 1” จะเดินหน้าต่อไปอย่างไรในท่ามกลางความขัดแย้ง อีกทั้งยังมีวาระสำคัญทางการเมืองรออยู่คือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ “แพทองธาร ชินวัตร”  นายกฯเพียงคนเดียว

-จากกรณีที่บอร์ดคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา มีมติให้รับคดีฮั้วเลือกสว.2567 เอาไว้เป็นคดีพิเศษเฉพาะเรื่องการฟอกเงิน แต่ไม่รับเรื่องความผิดฐานอั้งยี่ ซ่องโจร เนื่องจากไม่สามารถได้เสียง 15 เสียง ที่จะเป็นมติได้ สิ่งที่เกิดขึ้นกำลังบอกอะไรเราได้บ้าง

ค่อนข้างชัดเจนว่าฝ่ายบริหารไม่สามารถไปชี้นำ หรือครอบงำบอร์ดคดีพิเศษที่มาจากหลายภาคส่วนได้ ไม่ว่าจะมาจากข้าราชการประจำ หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งหมด 22 คนหากต้องใช้เสียงโหวต 2 ใน 3 ก็ปรากฏว่าได้ไม่ถึงแน่นอน  แค่คนไม่มาร่วมประชุม และยังมีที่งดออกเสียงถึง 3คน ยังมีโหวตไม่เห็นด้วยอีก 4 ราย ซึ่งนับรวมนับสิบคนแล้ว ซึ่งเสียงที่ต้องได้จะอยู่ที่ 2ใน3 จึงได้ไม่ถึง

ด้วยเหตุนี้จึงออกมาเป็นมติเพียง 11 เสียง ที่เห็นชอบในที่ประชุมให้ดีเอสไอใช้ช่องทางตามวรรค 1 ของมาตรา 21 ให้รับตรวจสอบกรณีการฟอกเงิน จริงๆแล้วไม่ต้องโหวตก็ได้  เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของอธิบดีดีเอสไอ อยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่เกิดในการประชุมบอร์ดคดีพิเศษเมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา จึงเป็นการหาทางออกให้ฝ่ายการเมืองเพื่อไม่ให้เสียรังวัดเท่านั้น จากกรณีที่ไม่สามารถตั้งแท่นสอบคดีฮั้วเลือกสว.ให้เป็นคดีอั้งยี่ ซ่องโจรได้

บางคนใช้คำว่าวินวิน แต่ก็ได้ระดับหนึ่ง ไม่มีใครแพ้ ใครชนะ ดังนั้นจึงยังเดินหน้าใช้ดีเอสไอสอบคดีฮั้วเลือกสว.สายสีน้ำเงิน ต่อไปได้ แต่ในขณะเดียวกันทางด้านสว.สายสีน้ำเงิน เองที่เดิมหวั่นๆว่าคดีจะไปถึงเรื่องอั้งยี่ ซ่องโจร แต่เมื่อผลออกมาแบบนี้ก็เบาใจไปได้เยอะ

แต่ผมคิดว่าคนที่ไม่วินวิน ด้วยคืออธิบดีดีเอสไอ ซึ่งบางคนบอกว่านี่คือแพะบูชายัญ กลายเป็นเหยื่อให้กับฝ่ายการเมืองสองข้างที่กำลังห้ำหั่นกัน  ซึ่งการหาทางออกแบบนี้อาจจะดูง่าย แต่ต้องมาดูกันต่อว่าในทางปฏิบัติ เมื่อมีการตั้งข้อหาการฟอกเงิน ทางดีเอสไอ จะออกหมายเรียกใครบ้าง และถ้าออกหมายเรียกไปแล้ว ไปเจอนาย ก. นาย ข. แล้วหลักฐานไปไม่ถึงก็จะมีคำถามตามมาว่า แล้วที่บอกว่ามูลค่าความเสียหายอยู่ที่ 300 ล้านบาทนั้น มาจากไหน ประเมินจากฐานอะไร การที่จะรับเป็นคดีฟอกเงิน วงเงินความเสียหายต้องมีไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาทคำนวณจากฐานอะไร และจะแจ้งข้อหาใครบ้าง เข้าใจว่าเมื่อหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจจบลงเรื่องนี้น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น

-สิ่งที่เกิดขึ้นมีการมองเชื่อมโยงไปยังความขัดแย้งระหว่าง คุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และคุณเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย จะส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลตามมาหรือไม่ บ้างก็ว่าเหมือนการตบจูบบ้าง

ผมมองว่า น่าจะเรียกว่าจูบแล้วตบมากกว่า เพราะมันต่างจากตบแล้วไปจูบ แต่นี่เพิ่งจูบกันแต่กลับมาตบกันต่อ เพราะต่างเพิ่งไปพูดคุยกันที่บ้านจันทร์ส่องหล้า มาทั้ง 4 คน จึงหมายความว่าได้จูบกันไปแล้วรอบหนึ่ง แต่กลับมาตบกันต่อ 

ดังนั้นภาวะแบบนี้จึงเป็นการตอกย้ำว่าพรรคร่วมรัฐบาล 7-8 พรรคไม่เป็นเอกภาพเลย จุดยืนในการตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย กับพรรคภูมิใจไทยไม่ได้เป็นเอกภาพเลย แต่ละเรื่องจะเห็นได้ว่ากว่าจะเข็นให้เป็นมติของพรรคร่วมรัฐบาลออกมาไม่ง่ายเลย  ทั้งเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ จนมาถึงเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ก็ยังไม่ชัดเจน รวมถึงเรื่องเกาะกูด  เรื่องเอ็มโอยู 44 ก็เงียบหายไป

จนล่าสุดมาที่เรื่องคดีฮั้วเลือกสว. 2567 ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะจบอย่างไร เชื่อว่าบทสรุปก็คงจบได้แค่นี้ ในภาวะความขัดแย้ง จึงเป็นปัญหาอยู่เหมือนกันว่า การที่ไม่เป็นเอกภาพของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อไทย จะลามไปถึงตอนอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วยหรือไม่

จุดนี้สำคัญ เพราะหาก ยังเป็นแบบนี้อยู่ก็คงต้องคุยกันอีกก่อนถึงวันอภิปรายฯ ในส่วนของ 4 คนที่เคยเจอกันที่บ้านจันทร์ส่องหล้า

-การที่คุณอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ออกมายืนยันว่า 69 เสียงของพรรค จะสนับสนุนนายกฯแพทองธาร แน่นอน แต่จุดนี้ยังถือว่าต้องมีการพูดคุยกันอีก

ผมคิดว่าคงต้องคุยกันอีก หากสมมติว่า หากผลการโหวตไม่ไว้วางใจมีเสียงออกนอกแถว หรืออาจจะมีการงดออกเสียง ในการลงมติไว้วางใจนายกฯ หรืออาจจะมีการโหวตสวนขึ้นมารวมถึงอาจจะมีการไม่แสดงตนในที่ประชุมบ้าง สิ่งเหล่านี้เป็นเกมการเมืองทั้งสิ้น ดังนั้นจึงขึ้นอยู่ที่ว่าแกนนำของทั้ง2พรรค ซึ่งเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ มีวาระอะไรบ้าง หรือแค่ไปทำให้บรรยากาศความขัดแย้ง มันเย็นลงเท่านั้น

แต่ถ้าเป็นวาระการสอบคดีฮั้วสว. เมื่อวันที่ 6 มี.ค. ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า แม้ทั้ง 4 คนมีการพูดคุยกัน แต่ผลก็ออกมาได้เท่านี้ คิดว่าไม่น่าจะโอเคสักเท่าไหร่  ดังนั้นจึงคิดว่าน่าจะมีการคุยกันอีก ระหว่างผู้นำของสองพรรค รวมทั้งอาจจะมีการมอนิเตอร์ตลอดเวลาที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกฯแพทองธาร

-การอภิปรายไม่ไว้วางใจฯ มีประเด็นที่น่าสนใจคือการที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ จะลุกขึ้นอภิปรายฯด้วยตัวเอง เรื่องนี้ หากตัดเรื่องปัญหาสุขภาพออกไปแล้ว มีมุมที่น่าสนใจหรือไม่

ผมมองว่าเป็นไฟต์บังคับสำหรับพล.อ.ประวิตร ที่จะต้องมีบทบาทในการอภิปรายฯครั้งนี้  เพราะถ้าไม่แสดงตนชัดเจน อนาคตของพรรคก็จะคลุมเครือ สมาชิกในพรรคก็ต้องคิดแล้วว่าจะไปต่ออย่างไร จะยืนตรงไหนของรัฐบาลที่มีพรรคร่วมฯอยู่ 6-7 พรรค ซึ่งมีคุณทักษิณ คอนโทรลอยู่แบบนี้ แล้วพล.อ.ประวิตร จะสู้จริง รบจริงหรือไม่ ดังนั้นมองว่าบทบาทของพล.อ.ประวิตร ครั้งนี้จะเป็นการส่งสัญญาณไปถึงผู้สนับสนุน รวมถึงสส.ในพรรคพลังประชารัฐด้วยว่าหัวหน้าพรรคสู้แล้วนะ

สิ่งนี้มันจำเป็น เพราะในยามศึกสงคราม หากไม่ปรากฏตัวแม่ทัพ จะทำให้ขวัญกำลังใจของไพร่พลในกองทัพ มีปัญหาทันที ดังนั้นจุดนี้จึงเป็นเหมือนไฟต์บังคับสำหรับพล.อ.ประวิตร แต่ต้องรอดูว่าเมื่อพล.อ.ประวิตร ลุกขึ้นอภิปรายทั้งที่จะมีไม้เด็ดอะไรหรือไม่  มีข้อมูลสำคัญหรือไม่ ดังนั้นทีมงานเองก็ต้องทำการบ้านกันหนักเหมือนกัน

-การอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้หลายคนจับตาว่านี้คือการสงครามครั้งสุดท้าย การโชว์ฝีมือของพรรคประชาชน ก่อนที่จะไปเจอกับคดีแก้ไขม.112

ที่ผ่านมาพรรคประชาชนเองก็ถูกตั้งข้อครหาเหมือนกันว่า ไม่ได้ใช้เวทีอภิปรายฯตรงไปตรงมา  แต่กลับเหมือนต้องการเข้าร่วมรัฐบาล หรือไปรับงานพรรคเพื่อไทย เพื่อเขี่ยพรรคภูมิใจไทยออก มีข้อครหาเรื่องเหล่านี้มาตลอด ก่อนที่จะมีการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ

แต่เมื่อมีการยื่นญัตติ ปรากฏว่าพรรคประชาชน ในฐานะพรรคแกนนำฝ่ายค้าน ได้พุ่งเป้าซักฟอกไปที่นายกฯแพทองธาร ชินวัตร เพียงคนเดียว ทำให้ข้อครหานั้นเบาบางหรืออาจจะหมดไป แต่จากนี้ไปก็ต้องขึ้นอยู่กับภาพรวมการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะทำให้สังคมได้เห็นถึงเงาของคุณทักษิณที่ชักใยรัฐบาลอยู่ โดยเฉพาะ ข้อหาที่ระบุว่านายกฯแพทองธาร ยินยอมให้พ่อสั่งงาน ฉะนั้นต้องรอดูว่าพรรคประชาชนให้ภาพ ให้ข้อมูลชัดหรือไม่ จุดนี้จะเป็นบทพิสูจน์สำหรับฝ่ายค้านเหมือนกันว่าได้ทำงานเต็มที่ในการตรวจสอบรัฐบาลแค่ไหน

หรือจะเป็นไปในลักษณะของการถ้อยที ถ้อยอาศัย เพราะหากสังเกตก่อนหน้านี้จะมีข่าวตลอดว่าผู้นำทางจิตวิญญาณทั้งพรรคประชาชน คือคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กับคุณทักษิณ แอบดีลกันอยู่หลายครั้ง ล่าสุดยังมีข่าวเรื่องดีลลับบรูไน ทำให้คนระแวงว่าพรรคประชาชนจะเล่นสองหน้าหรือไม่ ดังนั้นนี่คือจุดที่พรรคต้องแสดงความชัดเจน ไม่เช่นนั้นสังคมจะเกิดความคลางแคลงใจ

- ทางด้านตัวนายกฯแพทองธาร ถือว่าน่าสนใจหรือไม่ เนื่องจากการซักฟอกในสภาฯ ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตนักการเมืองเลยทีเดียว นอกจากนี้ คุณทักษิณ เองก็จะต้องถูกพูดถึงในสภาฯเช่นกัน

คิดว่าองครักษ์ของนายกฯแพทองธาร กับคุณทักษิณ เป็นเรื่องใหญ่อยู่แล้ว ฉะนั้นความเก๋าเกม ที่พรรคเพื่อไทยมีมากกว่าพรรคประชาชน จะต้องทำงานกันอย่างเต็มที่ ตั้งแต่การต่อรองเรื่องจำนวนวันอภิปรายฯ ฝ่ายค้านขอ 5 วันแต่ฝ่ายรัฐบาลให้ได้แค่ 1 วันยังไม่นับในระหว่างการอภิปรายฯ สติ สมาธิ และข้อมูลของฝ่ายค้านต้องตกผลึกจริงๆ เพราะจะต้องเจอองครักษ์เต็มสภาฯ

โดยเฉพาะถ้ามีการพาดพิงถึงคุณทักษิณ เชื่อว่าคงไม่พ้นที่จะต้องมีทั้งองครักษ์และคนที่เล่นบทคอยป่วนในสภาฯ จนทำให้เสียสมาธิ สิ่งเหล่านี้คือความเก๋าเกมที่พรรคเพื่อไทย มีเหนือกว่าพรรคประชาชน เพื่อประคองนายกฯให้บาดเจ็บน้อยที่สุด

สำหรับนายกฯแพทองธาร แล้วถือเป็นครั้งแรกของการมาดำรงตำแหน่งทางการเมือง คือมาเป็นนายกฯเลย ไม่เคยเป็นรัฐมนตรีมาก่อน และยังเป็นนายกฯแค่ 6เดือน เมื่อมาเจอกองทัพจากฝ่ายค้านแบบนี้ พรรคเพื่อไทยจึงต้องเตรียมองครักษ์ให้แน่นหนา

- เสถียรภาพของรัฐบาลผสม หากมีมากพอ จะสามารถแก้ปัญหาปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจให้กับประชาชน ได้มากกว่านี้ เพราะทุกวันนี้ฝ่ายค้านในสภาฯก็อ่อนแรง ส่วนมวลชนนอกสภาฯ ก็อ่อนแรง แต่กลายเป็นวันนี้ ยังไม่เห็นว่ารัฐบาลจะแก้ปัญหาได้จริงจัง

การเป็นรัฐบาลผสม มีพรรคร่วมรัฐบาล ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่จะทำให้รัฐบาลอ่อนแอ ทุกรัฐบาลจะเกิดปัญหาขึ้นทันที ในแง่โครงสร้างของพรรคร่วมรัฐบาลกับการผลักดันนโยบายใหญ่ๆ ถือเป็นข้อจำกัดที่เราต้องเข้าใจปัญหาทางการเมือง

แต่ธรรมชาติของคุณทักษิณ ที่ผ่านมามักจะเป็นรัฐบาลที่มีเสียงข้างมากเพียงพรรคเดียว  ดังนั้นเวลาบริหารหรือใช้อำนาจจึงทำให้รวดเร็ว ฉับไวกว่า แต่พอมาเป็นพรรคร่วมรัฐบาล จึงไม่อาจเห็นสไตล์ของคุณทักษิณ เท่าไหร่ อีกทั้งอำนาจบารมีของคุณทักษิณ เองถ้าพูดกันตรงๆก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิม ฉะนั้นการที่มีพรรคร่วมฯจำนวนมาก แวดล้อมพรรคเพื่อไทย จึงทำให้การขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลทำไม่ได้เต็มที่ อันนี้เราเข้าใจได้

แต่ทั้งนี้เราต้องมาดูว่าในทางนโยบายนใหญ่ๆ นั้นเป็นปัญหาจากการที่พรรคร่วมรัฐบาล ไม่เป็นเอกภาพ หรือเป็นเพราะนโยบายไม่มีความชัดเจนเอง  ไม่ถูกทิศ ถูกทาง มีปัญหาในตัวเอง เช่นนโยบายแจกเงินหมื่นทั้งที่ไม่มีพรรคไหนค้าน  แต่สุดท้ายเมื่อทำแล้วต้องถามว่าแล้วเศรษฐกิจฟื้นหรือไม่ ที่เคยบอกว่าพายุหมุน 4-5 ลูก ก็ยังไม่เห็นทาง

- มีอะไรที่อยากฝากเพิ่มเติมถึงสังคมไทย

เราต้องยอมรับว่าเวลานี้วิกฤตเศรษฐกิจการเมือง มันรวนจริงๆ ซึ่งมาจากภูมิรัฐศาสตร์ หรือการจัดระเบียบการเมืองของโลก อาจจะทำให้เอกภาพของกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ กระจัดกระจาย และกระทบกับไทยได้  ไทยเป็นประเทศเล็กๆด้วยซ้ำ เวลาช้างสาร ปะทะกัน หญ้าแพรกอย่างเราก็แหลกลาญ เพราะฉะนั้น การมองภูมิรัฐศาสตร์ และภูมิเศรษฐศาสตร์มันเปลี่ยนไป ตลอดเวลา ดังนั้นหากจะมองการเมืองไทย ก็ต้องมองไปถึงบริบทโลกด้วย การเมืองระดับโลกจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

เช่นถึงที่สุดแล้วนโยบายของทรัมป์ จะกระทบกับเราแค่ไหน และอย่างไร เราตั้งรับกันแค่ไหน คิดว่าโจทย์จากภายนอก เป็นเรื่องที่พึงระวังและมีข้อมูลที่เท่าทันตลอดเวลา

 

               

               

               

               

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.