รัฐบาล “แพทองธาร1” เพิ่งบริหารประเทศมาได้เพียง ครึ่งปี ผ่านพ้นไปแค่ 6 เดือนเท่านั้น แต่เหตุไฉนบรรยากาศรอบกายช่างอึมครึม ดุเดือด เขม็งตึงไม่ต่างจาก “เชือก” ที่พร้อมขาดผึงได้ทุกเมื่อ !
แม้ “ทักษิณ ชินวัตร” ในฐานะ “ผู้นำทางจิตวิญญาณ” ของพรรคเพื่อไทยอาจเคยประเมินมาก่อนหน้านี้แล้วว่า เมื่อตัดสินใจส่ง “ลูกสาว” อย่าง “แพทองธาร ชินวัตร” เข้ามานั่งในเก้าอี้ “นายกฯคนที่ 31” สิ่งที่จะตามมาคงไม่ได้มีเพียงแต่เสียงชื่นชมหรือแซ่ซ้อง หากแต่ทุกแรงกดดันจะถาโถมเข้าใส่ไม่มียั้งมือ
แต่เมื่อทุกอย่างผ่านการตัดสินใจล่วงมาแล้วกว่า 6เดือน และยังเหลือเวลาอีกเกือบ 2 ปีที่ทักษิณ จะต้องประคับประคองให้ นายกฯอิ๊งค์ อยู่รอดปลอดภัย ยื้อรัฐนาวาไปจนครบเทอม ในปี 2570 จึงหมายความว่า ทุกกลยุทธ์ ทุกกลไกที่มีอยู่ในมือ ต้องออกมามีบทบาทด้วยกันทั้งสิ้น
ทว่ายิ่งนานวัน ยิ่งสะท้อนภาพว่า ไม่เพียงแต่ ทักษิณ เท่านั้นที่ติดกับดักทางการเมือง แต่ “ลูกสาว” อย่างนายกฯอิ๊งค์ รวมถึงพรรคเพื่อไทย และรัฐบาลผสม กำลังพากันดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งความคาดหวัง และความเชื่อมั่น ไม่ว่าจะเป็นการบริหารนโยบาย ไปจนถึงแนวรบทางการเมือง ที่ว่ากันว่าการกลับมาของทักษิณ ในรอบ 17ปีครั้งนี้ อำนาจที่มีในมือไม่ใช่ลักษณะพาวเวอร์ฟูล เหมือนที่ใครๆมองอีกต่อไป
จะว่าไปแล้วต้องทำใจยอมรับว่าทุกแนวรบ ของพรรคเพื่อไทย แม้จะยังไม่ถึงขั้น “ถูกตีแตก” แต่บรรดาแม่ทัพนายกอง ไปจนถึง “ทหารหน้าค่าย” ต่างเหนื่อยล้า กันสุดกำลัง !
จะด้วยเพราะ “ความขลัง” ของคนชื่อทักษิณ มีไม่เท่าเดิม แม้เคลื่อนไหว แต่กลับไร้พลัง หรือจะด้วยเพราะ “ศัตรู” แม้คล้ายจะตกเป็นรอง แต่กลับมี “อำนาจต่อรอง” ไม่ด้อยไปกว่ากัน
จากนี้หากไม่มีอะไรผิดพลาด หรือถึงขั้นต้องเปลี่ยนแผน “ฝ่ายค้าน” นำโดยพรรคประชาชนจะได้อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯอิ๊งค์ ได้ทันก่อนปิดประชุมสภาฯสมัยสามัญ ในวันที่ 11 เม.ย.68นี้ แต่อย่าลืมว่า เรื่องนี้แค่คิดก็ทำเอา ความรู้สึกของผู้เป็นพ่อ และเจ้าตัวอดที่จะปั่นป่วนใจไม่ได้ เพราะแพทองธาร ชินวัตร ไม่ได้เกิดมาเพื่อให้ใครมาวิพากษ์วิจารณ์เธอในสภา มิหนำซ้ำยังใช้ ญัตติซักฟอกรอบนี้ ลามไปถึงตัวทักษิณ
ด้วยเหตุนี้ ในระหว่างที่ฝั่งรัฐบาลใช้แท็กติกทางการเมือง บีบให้ฝ่ายค้านต้องถอนชื่อ ทักษิณ ออกจากญัตติกินเวลากว่า 2 สัปดาห์นั้น มีหรือที่พรรคเพื่อไทยจะไม่จัดทัพองครักษ์พิทักษ์ทั้งนายกฯแพทองธาร และพ่อนายกฯ เอาไว้พร้อมสรรพ
และอย่าลืมว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้ ลำพัง นายกฯอิ๊งค์ ต้องรับมือกับ สส.พรรคประชาชน ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องส่ง “ศิริกัญญา ตันสกุล” สส.บัญชีรายชื่อ ทำหน้าที่ชำแหละผู้นำรัฐบาลกลางสภา พร้อมทั้ง “เปรียบมวย” วัดพิกัด วัดกึ๋น ระหว่าง แพทองธาร กับศิริกัญญา กันแล้ว ยังพ่วงด้วย “ฝ่ายแค้น” อย่าง “พรรคพลังประชารัฐ” ที่รอบนี้ จะมี “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค จะลุกขึ้นซักฟอก นายกฯอิ๊งค์ เพื่อยิงหมัดตรงไปถึง ทักษิณ หลังจากที่บีบขั้วบิ๊กป้อม ออกจากรัฐบาล แถมยังเอาลูกน้อง อย่าง “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” สส.พะเยา พรรคกล้าธรรม ไปเป็นขุนพลข้างกาย
ดังนั้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้ถึงอย่างไร ทั้งนายกฯอิ๊งค์ และทักษิณ ก็ต้องบาดเจ็บ ไม่ว่าจะเจ็บมากหรือเจ็บน้อย ย่อมกระเทือนอยู่ดี
ด้วยเหตุนี้จึงมีความพยายามตลอดหลายวันที่ผ่านมาในท่วงทำนองถึงความเป็นไปได้ที่จะล้มญัตติซักฟอกไปเลย เพราะนอกจากจะช่วยลดแรงเสียดทานให้กับนายกฯอิ๊งค์ ไม่ต้องถูกโจมตีกลางสภาแล้ว พรรคเพื่อไทยยังไม่ต้องรับมือกับ “เกมต่อรอง” เมื่อวันโหวตลงคะแนนเสียงมาถึง ตามมาตรา 151
ประเด็นปัญหาความขัดแย้งระหว่าง “ผู้นำจิตวิญญาณ” ของพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทย ยังไม่ได้อยู่ในจุดที่วางใจได้ แม้เนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคสีน้ำเงิน ได้เข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า พบปะพูดคุยกับทักษิณ มาแล้วด้วยกันถึงสองครั้ง เท่าที่ปรากฏเป็นข่าว เพราะไม่เช่นนั้น หากสถานการณ์ “นิ่ง” ได้จริง การประชุมครม.เมื่อวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา ร่างพ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่พรรคเพื่อไทยหวังเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง คงได้เข้าสู่การพิจารณาไปเรียบร้อยแล้ว
แม้ส่วนหนึ่งจะมาจากแรงต้านนอกครม. โดยมวลชนที่นำโดย “จตุพร พรหมพันธุ์” แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน และพันธมิตรแนวร่วม ที่พากันไปชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล แต่เสียงค้านจากภายนอก มีหรือที่จะทำให้เกิดความสั่นไหวเท่ากับ “แรงค้าน” จากภายในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง และดูเหมือนว่าจะไม่เฉพาะพรรคภูมิใจไทยเท่านั้น แต่งานนี้จะมีพรรคร่วมรัฐบาลพรรคไหน กล้าลุยไฟไปกับเพื่อไทย ด้วยเหตุนี้นายกฯแพทองธาร จึงบอกกับสื่อสั้นๆว่า “ยังไม่พร้อม” ที่จะผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าครม.
อย่างไรก็ดี กูรูทางการเมืองหลายคนประเมินว่า หากเป็นรัฐบาลในวันที่ทักษิณ มีอำนาจเต็มที่ในมือเหมือนเมื่อก่อน เขาจะไม่ลังเล ด้วยซ้ำ แต่เมื่อไร้พลังชี้ขาด จึงมีแต่การ “ยอมถอย” เพื่อให้รัฐบาลของลูกสาว ได้ไปต่อ
ล่าสุดรัฐบาลโดยกระทรวงเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย เพิ่งเคาะแจกเงินหมื่นเฟส 3 ให้กับคนรุ่นใหม่อายุ ระหว่าง 16-20ปี โดยคาดว่าจะได้รับเงินในราวไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ แต่ปรากฏว่า แทนที่ “ดรีมทีมเศรษฐกิจ” จะได้แต้ม กลับถูกถล่มอย่างหนัก
เพราะการแจกเงินรอบนี้เป็นการเคาะให้กับกลุ่มที่ยังไม่สามารถการันตีได้ว่าจะเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่ เนื่องจากไม่ใช่การแจกเงินสด เหมือน เฟสที่1และเฟสที่ 2 เป็นการใช้จ่ายผ่านแอปฯ ทางรัฐ โดยการสแกน QR code ในร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ อีกทั้งยังเป็นคนกลุ่มเล็ก เพียง 2.7ล้านคนเท่านั้น มิหนำซ้ำเงินที่แจกยังไม่สามารถจ่ายค่าเทอมได้ รวมถึงยังจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟฟ้าไม่ได้ โดยการแถลงข่าวของ “เผ่าภูมิ โรจนสกุล” รมช.คลัง เพียงข้ามวัน ก็กลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะตอนแรกยืนยันว่าจ่ายค่าเทอมได้
จนเกิดคำถามว่า เป็นเพราะสื่อยิงคำถามเร็วเกินไป หรือเป็นเพราะเวลานี้รัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทยอยู่ในอาการ “เมาหมัด” กันไปหมดแล้ว ยิ่งหากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ก็เป็นเผ่าภูมิ ที่ออกมาโต้สื่อเมื่อคราวหุ้นตก ว่าหากเป็นคนฉลาด จะมองเห็นโอกาส และช้อนซื้อหุ้น แต่คนที่ไม่ฉลาดจะตื่นเต้น ปรากฏว่า “นักเศรษฐศาสตร์” และฝ่ายค้าน พากันออกมาสวนรมช.เผ่าภูมิกันเป็นแถว ว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องฉลาดหรือโง่ แต่ภาวะตลาดหุ้นที่ดิ่งลงกำลังสะท้อนการบริหารงานที่ล้มเหลวของรัฐบาลต่างหาก
การบริหารนโยบายด้านเศรษฐกิจ ที่พรรคเพื่อไทยเคยเคลมว่านี่คือ “จุดแข็ง” ของพรรคและยังมี กูรูระดับอดีตนายกฯทักษิณ คอยให้คำปรึกษา ขอให้มั่นใจได้ว่ารัฐบาลจะแก้ปัญหาปากท้องได้แน่ แต่จากรัฐบาลยุค “เศรษฐา” มาถึง “แพทองธาร” ปรากฏว่าภาวะเศรษฐกิจไทย ยังไม่อยู่ในจุดที่วางใจได้
ยิ่งเมื่อ “พิชัย นริพทะพันธ์” รมว.พาณิชย์ ให้คำแนะนำเรื่องการแก้ปัญหาราคาข้าว ด้วยการให้ชาวนา หันมาปลูกกล้วยแทน เพราะตลาดญี่ปุ่นต้องการสูง รวมทั้งยังบอกให้คนไทยช่วยกันกินข้าวเยอะๆ ยิ่งทำให้หลายคนต้องอุทานดัง “หัวจะปวด” กันเป็นแถว
ทำไปทำมา ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ทุกแนวรบในมือของทักษิณ แทบจะพ่ายแพ้ไปทุกทาง ขุนพลรอบข้าง ทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นทีมบู๊ ทีมบุ๋น ต่างอยู่ในอาการ “เมาหมัด” แต่ที่ยังเห็นอยู่บนเวที ยืนชนหมัด อยู่เช่นนี้ เพราะยังไม่ถึงเวลาโยนผ้ายอมแพ้ เท่านั้น !