พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง
นายก อบจ.ปทุมธานี
ชูจุดยืนไม่ขึ้นตรงพรรคการเมือง
ในโอกาสที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานี เข้าปฏิบัติบริหารงานที่ อบจ.ปทุมธานีเป็นสมัยที่ 2 ภายหลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ได้ให้สัมภาษณ์ถึงแนวคิดและแนวทางการบริหารงาน การแก้ปัญหา และการพัฒนาพื้นที่ จ.ปทุมธานี ในวาระ 4 ปี ดังนี้
การทำหน้าที่นายก อบจ.ปทุมธานี สมัยแรกเป็นอย่างไร
ช่วงการทำหน้าที่นายก อบจ.ปทุมธานี สมัยแรก เจอปัญหาหลายอย่าง ทั้งเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น การบริหารจัดการที่ไม่นำเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้แก้ปัญหาในพื้นที่ปทุมธานี ส่วนปัญหาใหญ่ที่เข้ามาและต้องแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน คือ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในปี 2564 ที่มีตัวเลขการติดเชื้อเพิ่มเป็นอันดับ 2 ของประเทศ รองจากพื้นที่กรุงเทพฯ จึงต้องทุ่มเทสรรพกำลัง ในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้เร็วที่สุด ได้ประสานกับเครือข่ายของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จัดชื้อชุดทดสอบโควิด 19 (Antigen Test Kit หรือ Rapid Antigen Test) สามารถตรวจและรู้ผลใน 2 นาที จึงสามารถนำผู้ติดเชื้อไปเฝ้าระวังและกักตัวตามขั้นตอน ป้องกันการแพร่ระบาดของกลุ่มเสี่ยง รวมทั้งได้ดำเนินการจัดซื้อวัคซีนซิโนฟาร์มจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จำนวน 800,000 โดส จึงได้เร่งระดมฉีดวัคซีนให้กับชาว จ.ปทุมธานี ทำให้ผ่านพ้นวิกฤตมาได้ จนหลายคนเห็นแล้วอยากจะย้ายทะเบียนบ้านเข้ามาที่ จ.ปทุมธานี เพื่อได้รับสิทธิการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19
ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้เห็นว่าระบบราชการมีความล่าช้า ไม่มีแผนรองรับการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ซึ่ง จ.ปทุมธานี ไม่มีกองสาธารณสุขใน อบจ. จึงต้องใช้การประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นหลัก เมื่อผ่านประสบการณ์หลังการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงได้ตั้งกองสาธารณสุขขึ้นมา มีบุคลากรเข้ามาบริหารจัดการ รวมทั้งได้โอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ทั้ง 24 แห่งมาอยู่สังกัด อบจ.
นอกจากนี้ได้ตั้งกองสาธารณภัยขึ้นมา เพราะใน จ.ปทุมธานี มีนิคมอุตสาหกรรมอย่างน้อย 2 แห่งคือ สวนอุตสาหกรรมบางกะดีและเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร และยังไม่รวมแถวลาดหลุมแก้ว ที่มีโรงงานจำนวนมากอีกแห่งหนึ่ง มีตลาดขนาดใหญ่อีก 2 แห่ง คือ ตลาดไทและตลาดสี่มุมเมือง การมีโรงงานและตลาดขนาดใหญ่ ส่งผลให้มีประชากรแฝงในจังหวัดจำนวนมาก จึงตั้งกองสาธารณภัยขึ้นมาดูแลป้องกันภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น ขณะเดียวกันได้ตั้งกองกีฬาและท่องเที่ยวเพื่อชูจุดขายด้านการท่องเที่ยวของ จ.ปทุมธานี ทั้งแม่น้ำเจ้าพระยา ศิลปวัฒนธรรม ชุมชนมอญ เพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้ชาว จ.ปทุมธานี
ส่วนการแก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง นอกจากบริหารจัดการตามระบบชลประทานแล้ว ยังได้ประสานกับเอกชนในพื้นที่ใช้เทคโนโลยีดาวเทียม มาช่วยดูพิกัดมวลน้ำ เพื่อวางแผนการรับมือมวลน้ำที่จะมาถึง จ.ปทุมธานี ช่วงใด มีปริมาณเท่าใด ที่มีความแม่นยำมากขึ้น จ.ปทุมธานี จึงวางแผนจัดการน้ำได้ตรงจุดขึ้น สามารถพร่องน้ำในคลองออกไปสู่แม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อเตรียมรองรับมวลน้ำใหม่ที่กำลังจะเข้ามา โดยได้ประสานกรมชลประทาน พร่องน้ำออกไปทางคลองพระยาบันลือ คลองเจ้าเจ็ด ออกไปทาง อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี รวมถึงการผันน้ำไปทางเขื่อนพระราม 6 จ.นครนายก เพื่อเตรียมรองรับมวลน้ำ ทำให้ จ.ปทุมธานี สามารถบริหารจัดการมวลน้ำไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเมืองหลวงของประเทศอย่างกรุงเทพฯได้
มีนโยบายเรื่องใดที่จะขับเคลื่อนในการทำหน้าที่นายก อบจ.ปทุมธานี สมัยที่ 2
วาระเร่งด่วนคือ จ.ปทุมธานี กำลังจะมีแลนด์มาร์กใหม่ คือ โครงการสวนสัตว์แห่งใหม่ คลองหก กำลังจะเสร็จในปี 2571 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพื้นที่กว่า 300 ไร่ในการพัฒนา โดยแบ่งโซนเป็นทวีปๆ ดังนั้นต้องเริ่มคิดถึงการจราจรแล้วว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร เพราะถนนลำลูกกา ถนนรังสิต-นครนายก มีรถใช้งานจำนวนมากส่งผลต่อปัญหาจราจรในพื้นที่ จึงเตรียมผลักดันโครงการรถไฟฟ้าโมโนเรล ซึ่งความคืบหน้าตอนนี้ได้ทำประชาพิจารณ์ไปแล้ว 3 ครั้ง รูปแบบโครงการจะใช้วิธีการรัฐร่วมเอกชน ซึ่งเจ้าภาพจะเป็น อบจ.ปทุมธานี ไม่ใช่รัฐส่วนกลาง ที่ผ่านมาใช้งบประมาณไปแล้ว 126 ล้านบาท ในการจ้างที่ปรึกษารวม 4 หน่วยงาน ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง, สถาบันวิจัยและให้คำปรึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยขอนแก่นศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ ซึ่งใกล้เสร็จแล้ว หลังจากนั้นจะนำผลการศึกษาเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขออนุมัติดำเนินโครงการ จากนั้นจะเปิดประมูลโครงการต่อไป จากการรับฟังเสียงเอกชนที่สนใจลงทุนตอนนี้มีผู้ให้ความสนใจคือ บจ.ไชน่า สเตท คอนสตรัคชั่น เอนยิเนียริ่ง (ประเทศไทย) จากประเทศจีน และอีก 1 บริษัทจากประเทศญี่ปุ่นที่จะมาร่วมลงทุน
เส้นทางรถไฟฟ้าโมโนเรลจะเริ่มจากสถานีรถไฟชานเมืองสายสีแดงรังสิต-สวนสัตว์ใหม่คลองหกระยะทาง 16.6 กิโลเมตร แบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงที่ 1 จากสถานีรังสิต ตามแนวทางหลวงหมายเลข 346 จนถึงบริเวณทางยกระดับข้ามถนนวิภาวดีรังสิต ระยะทางประมาณ 1.50 กิโลเมตร เขตทางประมาณ 50 เมตร เป็นถนน 10 ช่องจราจร และช่วงที่ 2 จากบริเวณถนนวิภาวดีรังสิตไปสิ้นสุดที่สวนสัตว์แห่งใหม่ (คลองหก) ระยะทางประมาณ 15.10 กม. เป็นถนนขนาด 6-8 ช่องจราจร เขตทางประมาณ 35-40 เมตร
สำหรับแผนงานการดำเนินโครงการ มั่นใจว่าในปี 2568 จะดำเนินการศึกษาแล้วเสร็จ และเสนอเข้าที่ประชุม ครม.ให้ความเห็นชอบในปี 2569 จากนั้นเป็นขั้นตอนจัดซื้อจัดจ้าง เบื้องต้นรูปแบบสัมปทานจะให้เอกชนก่อสร้างและรับความเสี่ยงไปทั้งหมด โดยต้นทุนการก่อสร้างอยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท
ผู้บริหารบริษัทของสองประเทศเข้ามาสำรวจเส้นทางเบื้องต้นแล้ว ต้องดูว่ามีจุดคุ้มทุนไหม จากที่พูดคุยกันทั้งสองประเทศสนใจมาก และมีคนใช้แน่นอน คาดการณ์จำนวนผู้โดยสารน่าจะอยู่ระดับหมื่นคน/วัน ส่วนค่าโดยสารต้องมาคุยกัน โดย อบจ.ปทุมธานีจะดูแลเอง ไม่เกี่ยวกับกระทรวงคมนาคม และใน 4 ปีนี้จะต้องปักหมุดให้ได้
“เรามั่นใจว่าเราทำได้ ไม่ล้มเหลวเหมือนที่อื่น อบจ.จะมีหน้าที่แค่ศึกษา แต่เอกชนลงทุน และที่สำคัญจะหลีกเลี่ยงการเวนคืน จะใช้พื้นที่เกาะกลางถนนรังสิต-นครนายกในการก่อสร้าง ซึ่งทำบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) กับ 24 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรียบร้อย ทั้งการไฟฟ้า การประปา กรมทางหลวง กรมธนารักษ์ มาหมดแล้ว ประสานกันหมดแล้ว และผมต้องการให้เสร็จในปี 2571 เพื่อให้ทันกับการเปิดใช้สวนสัตว์ใหม่ นอกจากนี้จะนำเทคโนโลยีดาวเทียมในการทำระบบรักษาความปลอดภัยในจังหวัด โดยได้ทดลองในพื้นที่นครรังสิตแล้ว ซึ่งมีประสิทธิภาพดีกว่ากล้องวงจรปิด เพราะ จ.ปทุมธานี ต้องยอมรับว่าเป็นแหล่งพักของการขนส่งยาเสพติดก่อนแพร่เข้าไปในกรุงเทพฯ ซึ่ง จ.ปทุมธานี จะไม่ยอมให้ยาเสพติดแพร่ระบาดเข้ากรุงเทพฯ คาดว่าจะครอบคลุมทั้งจังหวัดในเร็วๆ นี้ มีการตั้งงบประมาณแล้ว
ขณะเดียวกัน ผมวางเป้าหมายอยากผลักดันให้จังหวัดปทุมธานีกลายเป็น ‘เขตนวัตกรรมมูลค่าสูง’ ขณะนี้ก็มีการหารือร่วมกับทีมกฎบัตรไทยให้มาศึกษา โดยที่ผ่านมามีการหารือร่วมกับประธานสภา อบจ.ปทุมธานี, ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดปทุมธานี มองว่าหากการจัดตั้งเขตนวัตกรรมมูลค่าสูง เป็นประโยชน์ต่อระบบผังเมือง เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ แต่รังสิต คลองหลวง คูคต แน่นแล้ว จึงอยากให้พัฒนาเข้ามาฝั่ง อ.เมือง เพราะพื้นที่นี้ไม่มีจุดขาย อย่างนี้เราต้องบูม เพื่อให้คนเข้ามาท่องเที่ยว ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จำนวนประชากรจริง 1.2 ล้านคน ประชากรแฝงก็มี 1.2 ล้านคน ด้วยสถิติการย้ายเข้า-ออกในจังหวัดปทุมธานี อยู่อันดับที่ 4 ของประเทศ รองจากกรุงเทพฯ ชลบุรี นครราชสีมา (โคราช) จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เมืองแน่น ปัญหาของปทุมธานีขณะนี้ คือ เมืองเจริญเร็ว หมู่บ้านจัดสรรเป็นพันเป็นหมื่นหมู่บ้าน ในเมื่อเมืองมีความเจริญเข้ามาเร็ว จะไม่ยอมให้ความเจริญทำให้ชีวิตของชาวปทุมฯ เปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดี ไม่ได้ มีหลายสิ่งพร้อมที่จะให้ทุกคนร่วมระดมความคิดพัฒนาได้”
เมื่อถามว่าวางจุดยืนทางการเมืองอย่างไร เพราะนายก อบจ.ต้องทำงานเชื่อมโยงกับการเมืองในภาพใหญ่
“การเมืองท้องถิ่น นายก อบจ.ไม่ควรจะต้องขึ้นตรงกับพรรคการเมือง เพราะถ้าขึ้นตรงกับพรรค เวลามีปัญหาเดือดร้อนเป็นเรื่องใหญ่ สมมุติเรื่องเกี่ยวกับถนนหนทางต้องติดต่อกระทรวงคมนาคม เกิดรัฐมนตรีเป็นคนละพรรค จะช่วยคุณไหม กระทรวงสาธารณสุขเกิดโรคระบาด จะเสนอของบประมาณมาสนับสนุนเพิ่มเติม เกิดเป็นคนละพรรค จะช่วยไหมล่ะ ถ้ามีพรรคพวกการทำงานจะเดินหน้าไปได้มากกว่า หากถามว่าส่วนตัวผมสังกัดพรรคการเมืองไหน ขอตอบว่าไม่มี มีแต่พรรคพวกจริงๆ
ปทุมฯต้องไม่ใช่ปทุมฯแบบเก่าแล้ว จังหวัดนี้มีมหาวิทยาลัยเป็นสิบแห่ง หมู่บ้านจัดสรรจำนวนมาก ถ้าเป็นเมืองนอกในเมืองที่มีมหาวิทยาลัยเยอะขนาดนี้ เขายกให้เป็นเมืองปัญญาชน ทุกอย่างต้องเนี้ยบ แต่ตอนนี้ปทุมธานีเป็นเมืองอะไร อุตสาหกรรมโรงงานก็เยอะ มหาวิทยาลัยก็เยอะ สนามกอล์ฟเยอะ โจทย์เยอะ แล้วกรุงเทพฯเป็นยังไง ปทุมธานีก็เป็นอย่างนั้น หลายสิ่งหลายอย่างต้องพัฒนาไปพร้อมกัน แต่บอกตรงๆ ว่าอุปสรรคสำคัญตอนนี้ คือ นักการเมือง ต้องปรับมายด์เซตการทำงานกันใหม่ พวกบ้านใหญ่ก็ต้องปรับวิธีการทำงาน ที่ต้องมุ่งช่วยเหลือให้ผลประโยชน์เกิดขึ้นกับประชาชนอย่างแท้จริง”