พิชัย หารือหอการค้าไทย ยันเครื่องจักร ศก.ขยับได้ดี เชื่อเรื่องอุยกูร์ไม่กระทบการค้า
GH News March 17, 2025 05:21 PM

พิชัย หารือหอการค้าไทย ยันเครื่องจักร ศก.ขยับได้ดี เร่งดันส่งออกโต ย้ำอุยกูร์ไม่กระทบการค้า

เมื่อวันที่ 17 มีนาคม นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้หารือร่วมกับภาคเอกชน นำโดย หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ซึ่งได้ประเมินว่า เครื่องจักรในด้านเศรษฐกิจเริ่มขยับตัวมากขึ้นแล้ว สะท้อนจากภาคการส่งออกที่เติบโต 5.4% ในปี 2567 เดือนมกราคมที่ผ่านมาโต 13.6% เดือนกุมภาพันธ์มีแนวโน้มน่าจะดีเช่นกัน รวมถึงภาคการลงทุนที่ขยายตัวได้ดี บวกกว่า 1.14% ในปี 2567 และปี 2568 น่าจะมีการลงทุนมากขึ้นหรือเทียบเท่าปี 2567 ซึ่งจะส่งผลต่อการส่งออกให้ขยายตัวมากขึ้น

นายพิชัยกล่าวว่า กระทรวงอยากเห็นการส่งออกขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ และเชื่อมั่นว่าการส่งออกจะเป็นกลไกหลักในการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มดี ปี 2567 มีประมาณ 36 ล้านคน ปี 2568 คาดการณ์ว่าจะเข้ามา 39 ล้านคน ปัญหาหลักในขณะนี้คือหนี้เดิมที่ยังค้างอยู่จะแก้ไขอย่างไร ทั้งหนี้ครัวเรือนที่อาจสูงขึ้นถึง 90% หนี้นอกระบบ 10% รวมกันกว่า 100% แล้ว ทำให้รายได้ส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้หนี้หมด จึงเหมือนภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ทั้งที่กลจักรเศรษฐกิจขับเคลื่อนไปได้ดี และเป็นที่น่าพอใจแล้ว

นายพิชัยกล่าวว่า กระทรวงได้หารือร่วมกับเอกชนว่าจะแก้ไขปัญหาหนี้ได้อย่างไร รวมถึงกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องช่วยกันคิด เพราะไม่อย่างนั้นเศรษฐกิจจะเดินต่อไปยาก ทั้งที่กลไกทางเศรษฐกิจอื่นเดินกันหมดแล้ว แต่ปัญหาเดิมๆ ที่ทำให้เกิดการเจริญเติบโตที่ต่ำมาเป็น 10 ปี สะท้อนถึงรายได้ไม่พอรายจ่ายหนี้จึงเพิ่มขึ้นเยอะ

“การจะแก้ไขเรื่องหนี้ โดยเฉพาะหนี้เสีย หรือหนี้ไม่ก่อรายได้ อยากเรียกร้องให้แบงก์ชาติมองว่าขณะนี้เป็นภาวะที่มีความรุนแรงมากแล้วจริงๆ ไม่สามารถประนีประนอมได้ เนื่องจากการเกิดโควิด-19 ระบาดกว่า 3 ปี ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวค่อนข้างยาก แม้ขณะนี้ธุรกิจหลายเซ็กเตอร์เดินต่อได้แล้ว แต่ก็มีหนี้ค้างเดิมที่เป็นปัญหาอยู่ จึงอยากเห็นการแก้ไขในส่วนนี้ โดยเชื่อมั่นว่าหากแก้ไขได้ เศรษฐกิจไทยจะโต 4-5% ได้” นายพิชัยกล่าว

นายพิชัยกล่าวต่อว่า ส่วนความกังวลผลกระทบการส่งตัวอุยกูร์กลับจีนทำให้สหรัฐจำกัดวีซ่ากับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทย จนส่งผลต่อการเจรจาค้าขาย รวมถึงยุโรป (อียู) ด้วยนั้น จากการเดินทางเยือนสหรัฐเชื่อว่าการเจรจาไม่มีผลกระทบ เพราะสุดท้ายแล้วทุกคนก็ต้องกลับมาทำการค้ากลับมาทำธุรกิจ ส่วนการเจรจาการค้า อย่างเอฟทีเอที่มีการดำเนินการบ้างแล้ว อาทิ ข้อตกลงการค้าเสรียุโรป (EFTA) ที่ได้รับการตอบรับจากสังคมโลกที่ดี มีหลายแห่งต้องการเข้ามาเจรจาระหว่างไทยเพิ่มขึ้น เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้าก็มีการเจรจาร่วมกับภูฏาน ที่จะมีการเซ็นข้อตกลงต้นเดือนเมษายนนี้ ทำให้เชื่อว่าเอฟทีเอกับยุโรปยังดำเนินการไปด้วยดี จากการหารือร่วมกันช่วงที่ผ่านมา โดยได้ประชุมทางไกล (วิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์) กับ นายมารอส เซฟโควิช กรรมาธิการยุโรปด้านการค้าความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กร และความโปร่งใส เพื่อผลักดันการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างกัน ซึ่งนายมารอสเป็นฝ่ายกำหนดวันเองว่าต้องการให้จบลงภายในวันที่ 25 ธันวาคม 2568 ที่ถือเป็นวันคริสต์มาสพอดี จึงอยากให้มั่นใจถึงความพยายามในการดำเนินการ

“ปลายเดือนมีนาคมนี้จะมีการเจรจาร่วมกับยุโรปในระดับสินค้าและบริการ จึงยืนยันว่าการพูดคุยด้านการค้าระหว่างกันมีแนวทางที่ดี เรื่องอื่นก็พยายามขยายการเจรจาให้มากขึ้น อาทิ ยูเออี เกาหลีใต้ แคนาดา และอีกหลายประเทศที่รออยู่ เพราะต้องการเห็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดเช่นกัน เนื่องจากประเทศไทยนิ่งมานานมากแล้ว ทำให้เป้าหมายการเติบโตของการส่งออกไทย อยู่ที่ 4% มีโอกาสเป็นไปได้ เหมือนปี 2567 ที่ตั้งไว้โต 1-2% แต่สิ้นปีสามารถโตได้ถึง 5.4% ซึ่งปีนี้เริ่มต้นปีมาตัวเลขก็เติบโตได้ดี และเดือนต่อไปตัวเลขก็น่าจะออกมาเป็นที่น่าพอใจ” นายพิชัยกล่าว

ด้าน นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ความกังวลของภาคเอกชนเป็นเรื่องความสามารถในการชำระหนี้ ภาวะหนี้ครัวเรือนสูง รวมถึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอี หรือธุรกิจรายย่อยไม่สามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อได้ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และทำให้ประชาชนไม่มีความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยด้วย การที่รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหา อาทิ การช่วยปล่อยสินเชื่อมากขึ้นแต่ยังสามารถใช้ยานยนต์ อย่างรถกระบะเป็นเครื่องมือทำมาหากินได้ โดยระยะสั้นหอการค้าได้ขอร้องให้ รมว.กระทรวงพาณิชย์ ช่วยเจรจาเรื่องน้ำเชื่อมไทย ที่ไม่สามารถส่งไปขายในประเทศจีนได้ รวมถึงทุเรียนไทย ซึ่งมีการตอบรับที่ดี และเริ่มการเจรจาเชิงรุก เพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วน

นายสนั่นกล่าวว่า ความกังวลอีกเรื่องเป็นการสกัดสินค้าต่ำกว่ามาตรฐาน และราคาต่ำกว่าต้นทุน ซึ่งเอกชนและรัฐบาลจะทำงานเป็นทีมเดียวกัน เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถหาทางรอดได้ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาทรัมป์ 2.0 ที่ต้องหาทางรับมืออย่างเข้มข้น เพราะเชื่อว่ารัฐบาลไทยทำงานเดินหน้าไปแล้ว แต่ยังต้องแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเอกชน เพื่อหามาตรการต่อรองร่วมกับสหรัฐแบบคล่องตัว รวดเร็ว และมีประโยชน์สูงสุด ซึ่งส่วนนี้ผู้ประกอบการไทยจะต้องพัฒนาสินค้าและบริการของตัวเองด้วย จึงมองว่ารัฐบาลต้องสนับสนุนในดึงเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้ในภาคการผลิตไทย เพราะถึงเวลาต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว อาจเป็นการให้สิทธิพิเศษเหมือนที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ให้กับนักลงทุนต่างชาติ

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.