มติรัฐสภา 415 เสียงตีตกร่างกฎหมาย ป.ป.ช.
GH News March 17, 2025 06:13 PM

มติรัฐสภา 415 เสียงตีตกร่างกฎหมาย ป.ป.ช.โอนคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของทหารไปศาลคดีทุจริต

เมื่อวันที่ 17 มี.ค.68 ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามกาารทุจริตแห่งชาติ (พ.ร.ป.ป.ป.ช.) ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาแล้วเสร็จ

ทั้งนี้ ในการพิจารณาในวาระสอง พบว่า สมาชิกรัฐสภาได้ถกเถียงถึงการแก้ไขของ กมธ.เสียงข้างมากในมาตรา 4 ที่แก้ไขให้ในรายละเอียดของการให้คดีทุจริตและประพฤติมิชอบส่วนของกองทัพให้โอนอัยการสูงสุดไปดำเนินการ โดยได้ตัดส่วนของการดำเนินคดีในศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบออกไป นอกจากนั้นได้เพิ่มวรรคสองขึ้นใหม่ โดยกำหนดให้การดำเนินคดีในส่วนของบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร เป็นเจ้าหน้าที่กองทัพ กำหนดให้ศาลทหารยังมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีกับผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารไปพลางก่อน โดยให้อัยการสูงสุดเป็นอัยการทหารตามกฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลทหาร โดย กมธ.เสียงข้างน้อยและสมาชิกรัฐสภา ทักท้วงว่าการแก้ไขเนื้อหาดังกล่าว เท่ากับการคงอำนาจให้ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาคดีของบุคลากรในกองทัพที่มีประเด็นทุจริต และประพฤติมิชอบ ซึ่งถือว่าขัดกับหลักการของการอำนวยความยุติธรรมสากล อีกทั้งในการกำหนดให้ศาลทหารยังมีอำนาจในการพิจารณาคดีไปพลางก่อนที่จะแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเท่ากับการประวิงเวลา

ขณะที่ นายณรงค์ ทับทิมไสย์ ตัวแทนสำนักงานศาลยุติธรรม ในฐานะ กมธ.เสียงข้างน้อย อภิปรายว่า ศาลยุติธรรมมีจุดยืนชัดเจนที่ให้พิจารณาคดีทุจริตประพฤติมิชอบทุกประเภทในศาลคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อต้องการให้การพิจารณาคดีดังกล่าวบรรลุการค้นหาความจริงด้วยระบบไต่สวน แสวงหารวบรวมให้ได้มาซึ่งข้อเท็จจริง พยานอย่างครบถ้วน รอบด้าน จะส่งผลให้การพิจารณาพิพากษาคดีมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว เสมอภาค เป็นธรรม สอดคล้องกับหลักการสากลที่ยอมรับร่วมกันให้บุคคลทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมาย ศาล เดียวกันภายใต้ข้อหาอย่างเดียวกัน คือ หากพลเรือนทำผิดต้องขึ้นศาลพลเรือนที่เป็นกลางที่เป็นหลักความเสมอภาคของกฎหมายและอิสระของตุลาการ ที่นานาอารยประเทศยอมรับ อยู่ในอำนาจของศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ ศาลพลเรือน

นายณรงค์ กล่าวต่อว่า ในกรณีที่ กมธ.เสียงข้างมาก ไม่ทำให้เกิดคความชัดเจนเพื่อให้ศาลคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบมีอำนาจพิจารณาคดีทุจริตผู้ถูกกล่าวหาในเขตอำนาจศาลทหาร ช่วงเปลี่ยนผ่าน ทำให้ร่างกฎหมายไม่บรรลุวัตถุประสงค์ เพราะกฎหมายที่ใช้บังคับไม่ได้อยู่ในทิศทางของการเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาล หากบัญญัติให้ชัดเจน เหมือนกับ พ.ร.บ.อุ้มหาย มาตรา 34 ที่ให้ศาลอาญาทุจริตประพฤติมิชอบมีเขตอำนาจเหนือคดีความผิดทั้งหลาย ย่อมทำให้กฎหมายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงนั้นชัดเจนและสร้างเจตจำนงร่วมกันว่าให้กฎหมายเป็นไปทิศทางใด

"น่าเสียดายที่ร่างกฎหมายประชุมชั้น กมธ. 2 ครั้ง แต่ผมไม่ได้อยู่ด้วยเพราะติดราชการที่ต่างประเทศ จึงไม่ได้เสนอร่างแก้ไข ทั้งนี้ ได้ขอสงวนความเห็นในเนื้อหา ทั้งนี้ กมธ.เสียงข้างมาก บัญญัติไว้ถือว่าไม่มีความชัดเจน ทำให้เกิดความสับสนของผู้บังคับใช้กฎหมายเรื่องเขตอำนาจศาล และจำเลยใช้โต้แย้งเพื่อประวิงคดีได้ง่าย แต่หากบัญญัติให้ชัดเจนเช่นเดียวกัน พ.ร.บ.อุ้มหาย หรือแนวทาง กมธ.เสีงข้างน้อย ทำให้กฎหมายที่จะเปลี่ยนแปลงมีผลบังคับใช้และไม่ถูกโต้แย้งได้ง่าย และกฎหมายของประเทศก้าวหน้า" นายณรงค์ กล่าว

ขณะที่ นายธงทอง นิพัทธรุจิ กมธ.เสียงข้างมาก ชี้แจงว่า การแก้ไขกฎหมายเพื่อแก้ไขเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ต้องคำนึงถึงรัฐธรรมนูญ มาตรา 199 และพระธรรมนูญศาลทหาร อย่างไรก็ดี ในการพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบนั้นมีบทกำหนดให้ศาลทหารนำไปปฏิบัติ ดังนั้น วิธีการพิจารณาคดีทุจรติประพฤติมิชอบ ที่ออกตาม พ.ร.ป.ป.ป.ช.ที่แก้ไข นั้นเป็นการดำเนินการก่อนชั้นศาล ที่รับรองเขตอำนาจศาลทหาร ดังนั้น มาตรา 4 ที่แก้ไข ให้โอนอำนาจศาลทหารที่ทหารกระทำความผิดตามคดีทุจริตประพฤติมิชอบไปยังศาลพลเรือน ภายหลังการยกเลิกมาตรา 3 ซึ่งยกเลิก มาตรา 96 ของ พ.ร.ป.ป.ป.ช.พ.ศ.2561

"การแก้ไขของ กมธ.เสียงข้างมาก เป็นการกำหนดการก่อนชั้นศาลไม่ใช่ขั้นตอนในชั้นศาล ซึ่งขั้นตอนในชั้นศาลจะเป็นไปตามเขตอำนาจและวิธีพิจารณาคดีตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 199 กำหนดรวมถึงพระธรรมนูญศาลทหารกำหนด กรณีที่ กมธ.เสียงข้างมาากให้ชะลอตัดอำนาจศาลทหารที่พิจารณาคิดที่ทหารทำผิดไว้ก่อน เป็นเรื่องถูกต้อง เพระการแก้ไขดังกล่าวต้องโยงกับการแก้ไขกฎหมายอื่น ที่อยู่นอกเหนือจาก พ.ร.ป.ป.ป.ช." นายธงทอง กล่าว

ขณะที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ฐานะประธาน กมธ.ชี้แจงว่า หลักการร่างกฎหมายที่รัฐสภารับไป คือ ให้ยกเลิกอำนาจของอัยการสูงสุดที่ดำเนินคดีในศาลทหาร และเขียนบทรองรับให้โอนอำนาจศาลทหารในคดีอาญาทุจริตที่มีอยู่ก่อน พ.ร.ป.ใช้บังคับ โอนให้อัยการสูงสุดในศาลอาญาคดีทุจริตพิจารณา ทั้งนี้ ยอมรับว่า กมธ.เสียงข้างมาก แก้ไขเนื้อหาตามหลักการ แต่ที่ กมธ.พบคือจะเป็นปัญหา หากเห็นชอบโอนคดีให้อัยการสูงสุดทำในศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบจะปฏิบัติไม่ได้ เพราะแม้จะโอนคดีที่มีก่อนหน้าไปแล้ว แต่คดีที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะทำอย่างไร ซึ่งตัวแทนศาลยุติธรรมให้ความเห็นอย่างมีน้ำหนัก คือ มีปัญหาต่อการบังคับใช้ เพราะไม่มีบทบังคับที่รองรับเขตอำนาจในคดีที่อาจเกิดในอนาคต

ทั้งนี้ในการอภิปรายของสมาชิกรัฐสภายังแสดงความเห็นโต้แย้งที่ กมธ.แก้ไขเนื้อหาของร่างกฎหมายที่หักล้างกับหลักการของร่างกฎหมายที่มติรัฐสภารับหลักการวาระแรก จึงต้องใช้การลงมติตัดสิน โดยพบว่า เสียงข้างมาก คือ 456 เสียง เห็นด้วยกับการแก้ไขของ กมธ.เสียงข้างมาก ต่อเสียงไม่เห็นด้วย 6 เสียง และมีผู้งดออกเสียง 138 เสียง ทั้งนี้ เมื่อถึงการลงมติว่าจะเห็นด้วยกับ กมธ.เสียงข้างมาก หรือเสียงข้างน้อย พบว่ามติเห็นด้วยกับ กมธ.เสียงข้างมาก เพียง 24 เสียง และเห็นด้วยกับ กมธ.เสียงข้างน้อย 167 เสียง และมีผู้งดออกเสียง 410 เสียง

จากนั้นได้เข้าสู่มาตรา 5 ซึ่งกมธ.เสียงข้างมากเพิ่มขึ้นใหม่ เพื่อให้อำนาจ ประธาน ป.ป.ช. รักษาการตามพ.ร.ป. ซึ่งมติของที่ประชุมเสียงข้างมากไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มขึ้นใหม่ ต่อจากนั้นที่ประชุมรัฐสภา ได้ลงมติในวาระสามว่าจะเห็นชอบกับร่างพ.ร.ป.ทั้งฉบับหรือไม่ โดยมติของที่ประชุมพบว่า มีเสียงเห็นด้วย 163 เสียงไม่เห็นด้วย 415 เสียงและ งดออกเสียง 12 เสียง ถือว่าร่าง พ.ร.ป.ป.ป.ช. ไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.