‘วิโรจน์’ เดือด ผิดหวังเพื่อนสมาชิกไม่กล้าหาญ ซัด สภาเป็น ‘โรงลิเก’ หลอกต้มประชาชน เหน็บ ‘สุทิน’ จะยอมเลื้อย-ซุกอยู่ในรู-อยู่โลกแห่งความเป็นจริงที่ฟอนเฟะเจ็บปวดทำไม ฉะ คำวินิจฉัยศาลใช้ความกำกวมมาเป็นเหยื่อล่อให้ ส.ส.กลัว สุดท้าย ‘มะงุมมะงาหรา’ เถียงกันไปมา จนคนอายุ 55 ใกล้เกษียณแล้ว
เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมรัฐสภา มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมพิจารณาญัตติด่วน เรื่องขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง(2) ของ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ ส.ว.เป็นผู้เสนอ และญัตติของ นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นผู้เสนอ ซึ่งค้างมาจากการประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 14 ก.พ.68 โดยที่ประชุมมีมติให้พิจารณาทั้ง 2 ญัตติไปพร้อมกัน
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายว่า วันนี้ต้องเล่าเรื่องเก่าให้เห็นเส้นเรื่องว่าการยื้อแก้รัฐธรรมนูญนั้นไม่เกิดประโยชน์ ถ้าเราจำกันได้ หลังรัฐประหาร ปี 2557 ส.ส.จำนวนมากมายหลายพรรคมีท่าทีแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านกลไกของ ส.ส.ร.มาโดยตลอด จนกระทั่งวันที่ 17 ส.ค. 2563 ฝ่ายค้านของสภาฯชุดที่แล้ว ได้ยื่นเสนอญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และมี ส.ส.รัฐบาลยื่นร่างประกบ เวลานั้น ส.ส.กล้าหาญกันมาก วันนี้ตนอยากให้มีความกล้าหาญเหมือนขณะนั้น ความกล้าหาญในอดีตเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่อย่าเอาความขาดเขลา หวาดกลัว ในปัจจุบันไปโยนให้คนอื่น ความกล้าหาญที่แท้จริงต้องกล้าหาญทั้งในอดีตและปัจจุบัน ความกล้าหาญในอดีต แต่ปัจจุบันขาดเขลา สยบยอม หงอ มีแต่ประชาชนเขาประนามหยามเหยียด
นายวิโรจน์กล่าวว่า เมื่อวันที่ 23-24 ก.ย.63 มีการประชุมร่วมรัฐสภา ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านมีแนวคิดตรงกันที่จะแก้ มาตรา 256 เปิดให้มี ส.ส.ร.วันนี้เราประชุมกันห้องสุริยันห้องเดิม สิ่งที่หายไปคือเจตจำนงทางการเมือง ซึ่งช่วงนั้น หลังจากอภิปรายข้ามคืน อยู่ดีๆ ก็มีการลุกขึ้นเสนอญัตติแทรก โดยอาศัยข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ให้ตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่าง ส.ส.และ ส.ว.เพื่อพิจารณาก่อนลงมติในวาระที่ 1 วันนั้นพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล ประกาศไม่ร่วมสังฆกรรม งดส่งคนไปร่วมในคณะกรรมการร่วม ทำให้เหลือคนในกรรมาธิการแค่ 31 คน จากโควต้าเต็ม 45 คน
“วันนั้น ส.ส.เรากล้าหาญกันมากๆ ยืนหยัดกันมากๆ ผมต้องขอบคุณ คุณสุทิน หนึ่งใน ส.ส. ที่ได้รับการยอมรับนับถือจากในสภาตอนนั้น ถึงกับออกปากวิจารณ์ว่าเข้าร่วมไม่ได้ เป็นโรงลิเกหลอกต้มประชาชน แต่ ณ วันนี้ ท่านสุทิน ผมฟังท่านอภิปราย ว่าโลกแห่งอุดมการณ์ต้องยอมทำตามโลกแห่งความเป็นจริง ผมก็ต้องตั้งคำถามว่าถ้าโลกแห่งความเป็นจริงเป็นโลกแห่งความฟอนเฟะ ที่พยายามกดหัวให้ สส.ที่มีศักดิ์และสิทธิ์ มีศักดิ์ศรีได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน ให้สยบยอมกับอำนาจมืด โลกแห่งความเป็นจริงที่ฟอนเฟะแบบนั้น เราจะไม่ยอมดึงให้กลับมาอยู่โลกอุดมคติที่ประชาชนพึ่งพาได้จริงๆ หรือ จะยอมเลื้อย ยอมสยบ ยอมคุดคู้ จะยอมซุกอยู่ในรู อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่ฟอนเฟะเจ็บปวดทำไม” นายวิโรจน์กล่าว
นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า หลังจากเหตุการณ์นั้น ดูเหมือนฟ้าจะเปิด จะไปต่อได้ ดูเหมือนพลัง ส.ส.ของเราจะดันเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปได้เพื่อพลิกฟื้นประชาธิปไตย มันกำลังจะมีความหวัง แต่สุดท้ายก็มานั่งตีความศาลรัฐธรรมมนูญ
เราก็อยู่แล้วว่าคำวินิจฉัยของศาลฯมันจะเป็นปริศนาธรรมที่ไม่เคยมีความชัดเจน เอาความกำกวมให้ตีความกันเอง สุดท้ายมันคือคนที่มีอำนาจนิติบัญญัติที่ได้รับจากประชาชน ที่จะต้องอาศัยความกล้าหาญของตัวเองในการใช้อำนาจที่ประชาชนประทานมาให้ ไม่ใช่ไปพึ่งพาศาล หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ใดที่มีอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชน เขากำลังท้าทายว่า ส.ส. ที่มาจากประชาชน จะกล้าใช้อำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับมาจากประชาชนหรือไม่ เอาความกำกวมมาเป็นเหยื่อล่อ สุดท้ายการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ถูกคว่ำกลางสภา สุดท้ายก็เป็นความกลัว เนื่องจากเสียงที่ไม่เห็นด้วยมีไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสภาในขณะนั้น และวันนั้น ตนต้องชื่นชมนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ที่ประกาศว่าไม่ร่วมสังฆกรรมด้วยกับพวกฉ้อฉล ศรีธนญชัย โกหกปลิ้นปล้อนและไร้สาระสิ้นดี นี่คือสภาโจ๊ก
“วันนั้นท่านชาดาพูดได้สะใจผมมาก เราเสียเวลากันมาเพื่ออะไร เราหลอกประชาชนเพื่ออะไร คำวินิจฉัยที่ 4/2564 ของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2564 เรียบง่ายมาก เพียงบอกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ต้องการกระทำใหม่ทั้งฉบับ รัฐสภาทำได้ แต่ต้องให้ประชาชนได้ลงประชามติว่าประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้บอกว่าต้องทำประชามติกี่ครั้ง แล้วอยู่ดีๆ ประเทศก็มะงุมมะงาหรา เถียงกันไปมา เรื่องทำประชามติ 2 ครั้งบ้าง 3 ครั้งบ้าง ไม่จบไม่สิ้น ผมว่า เผลอๆ เถียงไปมาเดี๋ยวจะมี 4-5 ครั้ง คนที่ไม่คิดจะแก้มันจะหาเหตุผลมารองรับความหวาดกลัวและความขาดเขลาที่จะไม่แก้ แต่คนที่มีเจตจำนงที่จะแก้ จะจ้องจะพยายามหาทางที่จะแก้ เพื่อให้อำนาจตกอยู่ที่มือประชาชนอีกครั้งให้ได้” นายวิโรจน์กล่าว
นายวิโรจน์ ยังกล่าวไปถึงเหตุการณ์ที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยื่นญัตติต่อรัฐสภาให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความอำนาจหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา ว่า วันนั้นตนก็ไม่ขัด อยากจะส่งก็ส่ง เพราะยังเชื่อว่าอำนาจนิติบัญญัติยังคงอยู่ในคนที่เป็น ส.ส. ที่ได้รับเลือกจากประชาชน ประชาชนเลือกเราเพราะคิดว่าพวกเราจะกล้าหาญ ใช้อำนาจเพื่อพวกเขา ซึ่งสุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ เหมือนตบหน้าอำนาจนิติบัญญัติ ไม่รับคำร้องที่รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความอำนาจของรัฐสภา
นายวิโรจน์กล่าวด้วยว่า นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ทำงานอย่างแข็งขัน จนทำให้ประธานรัฐสภาบรรจุญัตติแก้รัฐธรรมนูญในวาระ เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ถ้านับตั้งแต่วันที่เราพิจารณาครั้งแรก จนถึงตอนนี้ 4 ปีกว่า จะ 5 ปีแล้ว
“เด็กอายุ 7 ขวบ วันนี้ขึ้นป.6 เตรียมจะขึ้นจะขึ้น ม.1 แล้ว คนอายุ 55 ปี ตอนนี้จะเกษียณแล้ว ถ้าเรายังจะเลื่อนพิจารณาออกไปอีก วันนี้ผมไม่มีทางเลือกอื่น จะส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความอีกเพื่อยื้อเวลาไปอีก ผมก็เห็นด้วยกับคุณสุทิน และคุณชาดา อย่างยิ่ง ว่านี่คือโรงลิเกหลอกต้มประชาชน เป็นสภาโจ๊กที่ประชาชนไม่อาจให้ความหวังได้ ไม่รู้ว่าจะเลือกตั้งนักการเมืองแบบนี้มาทำไม เพราะนักการเมืองเหล่านี้ไม่กล้าหาญที่จะใช้อำนาจนิติบัญญัติที่ประชาชนยกมาให้ด้วยความเต็มใจ วันนี้ประเทศชาติเสียเวลาน้อยกว่าครึ่งทศวรรษแล้วยังจะให้เสียเวลาอีกต่อไปหรือ จะไปซ้ำรอยกับอาจารย์ชูศักดิ์เคยยื่นไปแล้วเพื่ออะไร” นายวิโรจน์กล่าว