4 กลยุทธ์ความยั่งยืนสู่   'Net Zero'  ของเนสท์เล่
GH News March 17, 2025 07:10 PM

ภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในหลายด้าน โดยเฉพาะทรัพยากรพื้นฐานอย่างดิน น้ำ และพืชผลทางการเกษตร ซึ่งเป็นหัวใจของระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงทางอาหาร การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทำให้ดินเสื่อมคุณภาพ แหล่งน้ำแห้งขอดหรือเกิดอุทกภัยรุนแรง ส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลง อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

ด้วยเหตุนี้ เนสท์เล่ ประเทศไทย ในฐานะบริษัทอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำระดับโลก เดินหน้าสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืน โดยประกาศความคืบหน้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 ตามแผนงานปี 2025 พร้อมสานต่อกลยุทธ์ “Good for You” เพื่อมอบผลิตภัณฑ์ที่อร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการ และ “Good for the Planet” มุ่งพัฒนาการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ฟาร์มจนถึงมือผู้บริโภค

สลิลลา สีหพันธุ์

สลิลลา สีหพันธุ์ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า การดำเนินงานขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน ยังคงมุ่งเน้น 2 กลยุทธ์หลัก คือ ขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ เพื่อผู้บริโภค (Good for You) และขับเคลื่อนสิ่งดี ๆ เพื่อโลกของเรา (Good for the Planet) ที่มุ่งสู่ Net Zero หรือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 โดยภายใต้กลยุทธ์ Good for You ได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ได้รับสัญลักษณ์ ทางเลือกสุขภาพ จำนวน 115 รายการ รวมปริมาณมากกว่า 4,600 ล้านหน่วยบริโภคในปี 2024 ซึ่งถือเป็นตัวเลขสูงสุดในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทย

สลิลลา กล่าวต่อว่า มีการส่งมอบอาหารและเครื่องดื่มที่เสริมแร่ธาตุและวิตามินกว่า 3,400 ล้านหน่วยบริโภค ครอบคลุมตั้งแต่ทารก เด็กเล็ก ไปจนถึงผู้ใหญ่ เพื่อช่วยบรรเทาภาวะทุพโภชนาการและเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับคนไทย ครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภค และส่งเสริมการกินอยู่อย่างสมดุล ผ่านการให้ความรู้ด้านสุขภาพ โภชนาการ และคุณภาพชีวิตที่ดีแก่คนไทยกว่า 5.48 ล้านคน ตลอดระยะเวลากว่า 16 ปี ผ่านโครงการเนสท์เล่ คาราวานครอบครัวแข็งแรง และภารกิจพิชิตสุขภาพดี เพื่อสร้างพฤติกรรมการบริโภคที่เหมาะสมและยั่งยืนในสังคมไทย

โดยกลยุทธ์ Good for the Planet สลิลลา กล่าวว่า มุ่งมั่นที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์และการดำเนินงานของเรามีความยั่งยืน ตั้งแต่ฟาร์มไปสู่มือผู้บริโภค เพื่อพัฒนาและฟื้นฟูระบบอาหารอย่างยั่งยืนในวงกว้าง โดยในปี 2021 เนสท์เล่ ประเทศไทย ได้เปิดเแผนการดำเนินงานด้านความยั่งยืนสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิจนเหลือศูนย์ภายในปี 2050 (Nestlé Thailand Net Zero 2050 Roadmap)

สำหรับความคืบหน้าการดำเนินงานด้านความยั่งยื่นในปี 2025 ตามแผนงานใน 4 มิติ ประกอบด้วย 1.ผ่านแนวทางเกษตรเชิงฟื้นฟู เพื่อสนับสนุนเกษตรกรและรักษาสิ่งแวดล้อม เนื่องจากภาคเกษตรกรรมซึ่งเป็นต้นทางวัตถุดิบของเนสท์เล่ ประเทศไทย มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 60% และการเผชิญกับภาวะโลกร้อนทำให้กาแฟมีจำนวนน้อยลง ดังนั้นจึงได้มีการสนับสนุนเกษตรเชิงฟื้นฟูให้กับเกษตรกรไทย ทำให้สามารถจัดหากาแฟสายพันธุ์โรบัสต้าและอาราบิก้าที่มาจากความรับผิดชอบ 100% และวัตถุดิบเมล็ดกาแฟสดที่ได้จากการทำเกษตรเชิงฟื้นฟูถึง 20% ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีการฝึกอบรมเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟกว่า 2,000 ราย แจกต้นกล้ากาแฟพันธุ์ดีกว่า 4.7 ล้านต้น และสนับสนุนการวิเคราะห์ดินแก่เกษตรกร 3,800 รายตั้งแต่ปี 2012 เพื่อแนะนำการใช้ปุ๋ยที่เหมาะสม อีกทั้งส่งเสริมการเลี้ยงผึ้งในสวนกาแฟกับเกษตรกรกว่า 300 ราย เพื่อเพิ่มรายได้และรักษาสมดุลระบบนิเวศ นอกจากนี้ ยังจัดหลักสูตรโรงเรียนธุรกิจเกษตรเพื่อช่วยเกษตรกรบริหารต้นทุนและกำไร พร้อมรับซื้อเมล็ดกาแฟดิบจากเกษตรกรไทยอย่างต่อเนื่อง

2.การจัดหาน้ำนมดิบ โดยส่งเสริมเกษตรเชิงฟื้นฟูในอุตสาหกรรมโคนม เพื่อเพิ่มคุณภาพและปริมาณน้ำนมดิบ พร้อมฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ผ่าน 3 แนวทางหลัก ได้แก่ การจัดการอาหารและโภชนะ การบริหารของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ และการใช้พลังงานทดแทน การดำเนินงานนี้ช่วยลดคาร์บอนจากฟาร์มโคนมได้กว่า 5,000 ตันในปี 2023 เมื่อเทียบกับปี 2018 อีกทั้งยังเพิ่มปริมาณน้ำนมดิบเฉลี่ยเป็น 13.5 กก./ตัว/วัน ในปี 2024 สูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศที่ 11 กก./ตัว/วัน พร้อมยกระดับโปรตีนในน้ำนมให้สูงกว่า 3% นอกจากนี้ เนสท์เล่ได้ให้ความรู้ด้านเกษตรเชิงฟื้นฟูแก่เกษตรกรกว่า 160 ฟาร์มในจังหวัดนครราชสีมา และมีฟาร์มที่นำระบบนี้ไปใช้แบบครบวงจรแล้วกว่า 40 ฟาร์ม รวมถึงลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกับสหกรณ์โคนม 3 แห่ง เพื่อสนับสนุนเกษตรกรและรับซื้อน้ำนมดิบในราคาที่เป็นเหมาะสม

3.การจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการชดเชยน้ำในธุรกิจน้ำดื่มคืนสู่ธรรมชาติและชุมชนได้ 100% หรือราวๆ 1,000 ล้านลิตรในปี 2025  และการส่งเสริมการฟื้นฟูทรัพยากรน้ำแบบครบวงจร ผ่านโครงการเนสท์เล่ น้ำรักษ์น้ำ โดยดำเนินงานภายใต้ 3 แนวทางหลัก ได้แก่ การเรียนรู้ การปกป้อง และการฟื้นฟู ตัวอย่างโครงการ ได้แก่ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งทำงานร่วมกับชุมชนในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น โครงการเยาวชนพิทักษ์สายน้ำเพื่อสร้างความตระหนักรู้เรื่องอนุรักษ์น้ำ โครงการตลาดนัดขยะชุมชนที่เปลี่ยนขยะเป็นรายได้ นอกจากนี้ ในโครงการหนองทุ่งทอง จ.สุราษฎร์ธานี ได้ร่วมมือกับม.ราชภัฏสุราษฎร์ธานีและชุมชนในการกำจัดวัชพืช ลอกคลอง และซ่อมแซมประตูระบายน้ำ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงน้ำสำหรับอุปโภค บริโภค และการเกษตร รวมถึงจัดตั้งเขตห้ามล่าเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

4.ความยั่งยืนด้านบรรจุภัณฑ์ ด้วยวิสัยทัศน์ของเยสเล่ ประเทศไทย คือ ต้องไม่มีบรรจุภัณฑ์อยู่ในหลุมฝั่งกลบและแหล่งน้ำ จึงได้ดำเนินการผ่าน 3 แนวทางหลัก ได้แก่ 1.ลดใช้พลาสติกใหม่ โดยใช้พลาสติกรีไซเคิล rPET ในขวดน้ำดื่ม และ rPE ในบรรจุภัณฑ์ 2.ออกแบบเพื่อรีไซเคิล โดยขณะนี้มีบรรจุภัณฑ์ที่ได้รับการออกแบบให้รีไซเคิลได้ 95% เช่น ซอง Mono Structure และกระป๋องที่เป็นอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% 3.ส่งเสริมการรีไซเคิลผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ ผ่านแคมเปญ BOTTLE MADE FROM BOTTLES โครงการ Careton กล่องนมรักษ์โลก และการเข้าร่วม PRO-Thailand Network เพื่อเพิ่มการเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ใช้แล้ว

กันต์ เขมาชีวะกุล ผู้จัดการฝ่ายความยั่งยืน บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า  การดำเนินงานทั้ง 4 มิติ ภายใต้แผนงาน Net Zero เนสท์เล่ ประเทศไทย สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 20% แล้วเมื่อเทียบกับปี 2018 และโรงงานทั้งหมดของเนสท์เล่ทั้ง 8 แห่งกำลังใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 100% รวมถึงศูนย์กระจายสินค้า ใช้เทคโนโลยีในการผลิตที่ปลดปล่อยคาร์บอนน้อยลง คลังสินค้าไอศครีมใหม่ล่าสุดที่ควบคุมอุณภูมิที่มีประสิทธิภาพสูงและพลังงานน้อยลง ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวเกิดจากการดำเนินงานในหลายมิติร่วมกันตลอดห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่ต้นจนจบ ในอนาคตก็จะยังคงเลือกใช้เทคโนโลยีการผลิตใหม่ ๆ ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยลดการใช้พลังงาน ลดการปล่อยคาร์บอน เดินหน้าสู่เป้าหมายต่อไป คือการลดการปล่อยคาร์บอน 50% ภายในปี 2030.

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.