ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ จับตาการประชุมเฟดกลางสัปดาห์นี้
jit March 17, 2025 07:40 PM

ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ นักลงทุนจับตาการประชุมเฟดในช่วงกลางสัปดาห์นี้ ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ และการดิ่งลงของตลาดหุ้นสหรัฐ

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า สภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันจันทร์ที่ 17 มีนาคม 2568 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (17/03) ที่ระดับ 33.67/68 บาท/ดอลลลาร์สหรัฐ เคลื่อนไหวทรงตัวจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (14/03) ที่ระดับ 33.68/69 บาท/ดอลลลาร์สหรัฐ

ค่าเงินดอลลลาร์สหรัฐยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ และถูกกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ โดยในวันศุกร์ (14/03) ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 57.9 ในเดือน มี.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 63.2 จากระดับ 64.7 ในเดือน ก.พ. โดยดัชนีความเชื่อมั่นได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ และการดิ่งลงของตลาดหุ้น

ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 4.9% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2565 และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือน ก.พ. ที่ระดับ 4.3% นอกจากนี้ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 3.9% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ. 2536 และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือน ก.พ. ที่ระดับ 3.5%

อย่างไรก็ดี ค่าเงินดอลลลาร์สหรัฐยังได้รับแรงหนุนหลังจากที่่สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า เมื่อวันอาทิตย์ (16/03) ปธน.ทรัมป์ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เขาไม่มีความประสงค์ที่จะยกเว้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม พร้อมระบุว่ามาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) และมาตรการภาษีเฉพาะภาคส่วนจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เม.ย.นี้

ทั้งนี้ มาตรการภาษีตอบโต้จะมีผลบังคับใช้พร้อมกับมาตรการภาษีนำเข้ารถยนต์ โดยคำพูดดังกล่าวเป็นสัญญาณว่า ปธน.ทรัมป์วางแผนที่จะเดินหน้าการใช้ระบบภาษีที่เข้มงวดมากขึ้น แม้ว่าการดำเนินการในช่วงเริ่มต้นจะทำให้ตลาดการเงินเผชิญกับความปั่นป่วนและสร้างความตึงเครียดให้กับบรรดาชาติพันธมิตรก็ตาม

ด้านปัจจัยภายในประเทศ เมื่อวันศุกร์ (14/3) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.0% มีความเหมาะสมต่อสถานการณ์ปัจจุบันของไทย นอกจากนี้ นายเศรษฐพุฒิกล่าวว่า เศรษฐกิจไทยควรมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในระยะยาว ขณะที่ ธปท.คาดว่าประเทศไทยจะมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงกว่า 2.5% เล็กน้อยในปีนี้

ขณะเดียวกันนายเศรษฐพุฒิคาดว่าการส่งออกของไทยจะชะลอตัวจากระดับ 5.8% ที่ทำไว้ในปีที่แล้ว ขณะที่คาดว่าเงินเฟ้อจะแตะระดับ 1.1% ในปีนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะจัดการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 30 เม.ย.

ทั้งนี้ในระหว่างวันค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 33.47-33.70 บาทต่อดอลลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ 33.62-63 บาท/ดอลลลาร์สหรัฐ

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโรเปิดตลาดเช้าวันนี้ (17/03) ที่ระดับ 1.0876/77 ดอลลลาร์สหรัฐ/ยูโร แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (14/03) ที่ระดับ 1.0852/53 ดอลลลาร์สหรัฐ/ยูโร โดยได้รับแรงหนุนหลังจากที่พรรคการเมืองในเยอรมนีบรรลุข้อตกลงด้านการคลัง ซึ่งอาจช่วยเพิ่มงบประมาณกลาโหมและกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรป

โดยว่าที่นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ฟรีดริช เมร์ซ ประกาศว่าเขาได้รับการสนับสนุนที่สำคัญจากพรรคกรีนส์ (Greens) สำหรับการเพิ่มการกู้ยืมของรัฐครั้งใหญ่ ข้อตกลงนี้คาดว่าจะได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาชุดปัจจุบันในสัปดาห์หน้า โดยมีการจัดตั้งกองทุนมูลค่า 5 แสนล้านยูโร (5.4430 แสนล้านดอลลลาร์สหรัฐ) สำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้านกฎระเบียบการกู้ยืมเงิน

อย่างไรก็ดี ค่าเงินยูโรถูกกดดันจากที่เมื่อวันศุกร์ (14/03) มีรายงานเปิดเผยว่าเงินเฟ้อเยอรมนีชะลอตัวลงในเดือน ก.พ. ซึ่งเป็นการปรับทบทวนจากรายงานเบื้องต้น ทำให้คณะกรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีความหวังมากขึ้นว่าแรงกดดันในภูมิภาคกำลังบรรเทาลง

โดยสำนักงานสถิติของเยอรมนีเปิดเผยว่า ราคาผู้บริโภคปรับตัวขึ้น 2.6% เมื่อเทียบรายปี ขณะที่รายงานเบื้องต้นเมื่อเดือนที่แล้วประมาณการว่าเพิ่มขึ้น 2.8% โดยการปรับทบทวนตัวเลขดังกล่าวอาจส่งผลถึงข้อมูลเงินเฟ้อของทั้งยูโรโซน ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 20 ประเทศ และมีกำหนดเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อขั้นสุดท้ายในวันที่ 19 มี.ค. หลังจากที่ในช่วงต้นเดือนนี้ สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) รายงานตัวเลขเงินเฟ้อเบื้องต้นที่ 2.4% ลดลงจาก 2.5% ในเดือน ม.ค.

นอกจากนี้ หลุยส์ เด กินโดส รองประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) แสดงความเห็นว่า นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ส่งผลให้เศรษฐกิจเผชิญความไม่แน่นอนยิ่งกว่าช่วงโควิด-19 โดยบลูมเบิร์กรายงานว่า ความเห็นของรองประธาน ECB เป็นไปในทำนองเดียวกับผู้กำหนดนโยบายอื่น ๆ อีกหลายคนที่ได้เน้นย้ำถึงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าที่กำลังก่อตัวขึ้น รวมถึงประธานคริสติน ลาการ์ด ซึ่งกล่าวว่าการที่ข้อพิพาทเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีการค้าทวีความรุนแรงขึ้นอาจส่งผลเสียร้ายแรงต่อเศรษฐกิจโลก

นอกจากนี้ กินโดสยังย้ำถึงความเชื่อมั่นของ ECB อีกครั้งว่า เงินเฟ้อกำลังเคลื่อนตัวสู่เป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางใน “ช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า” โดยกล่าวว่า “ตัวชี้วัดทั้งหมดในภาคบริการและเงินเฟ้อกำลังเคลื่อนตัวไปในทิศทางที่ถูกต้อง”

ทั้งนี้ในระหว่างวันค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวกรอบระหว่าง 1.0867-1.0893 ดอลลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.0878/79 ดอลลลาร์สหรัฐ/ยูโร

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันนี้ (17/03) ที่ระดับ 148.79/80 เยน/ดอลลลาร์สหรัฐ เคลื่อนไหวทรงตัวจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (14/03) ที่ระดับ 148.97/98 เยน/ดอลลลาร์สหรัฐ

ท่ามกลางการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 0.5% ในการประชุมวันที่ 18-19 มี.ค. หลังจากที่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ม.ค. และคาดว่าที่ประชุมจะหารือกันในประเด็นที่ว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศคู่ค้าที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นนั้น มีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นมากเพียงใด ซึ่งประเด็นดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญต่อการกำหนดช่วงเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปของ BOJ

นอกจากนี้ คาดว่านักลงทุนจะจับตาการแถลงข่าวภายหลังการประชุมของคาซูโอะ อูเอดะ ผู้ว่าการ BOJ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ซบเซานั้นจะส่งผลกระทบต่อแนวทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ BOJ หรือไม่ นอกจากนี้ แหล่งข่าวเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า กรรมการ BOJ หลายคนมองว่าอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ ยังคงผลักภาระต้นทุนวัตถุดิบและแรงงานที่สูงขึ้นไปให้กับผู้บริโภค ซึ่งส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (headline inflation) ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 4% ในเดือน ม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี

นอกจากนี้ บริษัทญี่ปุ่นมีมติปรับขึ้นค่าจ้างเฉลี่ยกว่า 5% ในปีนี้ นับเป็นการปรับขึ้นค่าจ้างครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 3 ทศวรรษ ถือเป็นข่าวดีสำหรับพนักงานส่วนใหญ่ แม้ยังไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าการปรับขึ้นครั้งนี้จะส่งผลให้การใช้จ่ายภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่

โดยข้อมูลเบื้องต้นจากสมาพันธ์สหภาพแรงงานญี่ปุ่น (Rengo) ระบุว่าการปรับขึ้นค่าจ้างพื้นฐานครั้งนี้อยู่ที่ 5.46% ซึ่งนับเป็นการปรับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน และมีแนวโน้มจะเป็นการปรับขึ้นสูงสุดในรอบ 34 ปี อย่างไรก็ตาม บางภาคธุรกิจยังไม่ได้รับการปรับขึ้น และยังคงต้องติดตามดูว่าพนักงานในบริษัทขนาดเล็กจะได้รับผลกระทบอย่างไร

ทั้งนี้ในระหว่างวันค่าเงินเยนเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 148.46-149.09 เยน/ดอลลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ 148.83/84 เยน/ดอลลลาร์สหรัฐ

สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ รายงานยอดขายปลีกของสหรัฐ (17/03), รายงานดัชนีการผลิตรัฐนิวยอร์กของสหรัฐ (17/03), รายงานดัชนีความอ่อนไหวทางเศรษฐกิจของเยอรมนี (18/03), ดุลการค้าของยูโรโซน (18/03), รายงานการผลิตในภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐ (18/03), อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (19/03), ดัชนีราคาผู้บริโภคของยูโรโซน (19/03), อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (20/03), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานของสหรัฐ (20/03), รายงานดัชนีการผลิตจากธนาคารกลางรัฐฟิลาเดลเฟียของสหรัฐ (20/03),

สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -7.85/-7.50 สตางค์/ดอลลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยงภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -7.25/-4.90 สตางค์/ดอลลลาร์สหรัฐ

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.