‘เท้ง’ ถามกลางที่ประชุมรัฐสภา เหตุผลที่เห็นต่างเพราะข้อกฎหมายหรือการเมือง แนะ หากเป็นการเมืองให้ถอยกลับไปคุยกันให้จบ สอน ’อิ๊งค์‘ แสดงภาวะผู้นำคุมเสียงรัฐบาลให้ได้ เพื่อเดินหน้าแก้ รธน.
เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2568 ในการประชุมร่วมรัฐสภา ที่มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่เป็นประธาน พิจารณาญัตติด่วน เรื่องขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง(2) ของ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ ส.ว.เป็นผู้เสนอ และญัตติของ นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นผู้เสนอ ซึ่งค้างมาจากการประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ โดยที่ประชุมมีมติให้พิจารณาทั้ง 2 ญัตติไปพร้อมกัน
เวลา 16.45 น. นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายว่า ตนขอใช้เวลาสั้นๆ ในการส่งข้อกังวลถึงการใช้อำนาจของประธานสภาฯ บรรจุญัตติดังกล่าวหรือไม่บรรจุ เป็นเรื่องข้อบกพร่องที่ครอบคลุมถึงเนื้อหาสาระของญัตติที่มีปัญหาจริงๆ และเป็นที่ทราบกันดีว่าญัตติการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ที่ถูกตีความว่าประธานรัฐสภาไม่บรรจุ ซึ่งตนก็เคารพและยอมแก้ไข
แต่มาวันนี้ที่ประธานรัฐสภา เห็นด้วยว่า สามารถเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ได้แล้วนั้น โดยการจัดทำประชามติเพียงแค่ 2 ครั้ง ประธานรัฐสภายอมบรรจุแล้ว แต่ขณะเดียวกันญัตติดังกล่าวที่เพื่อนสมาชิกเสนอมาเป็นญัตติที่ย้อนแย้งกับคำวินิจฉัยของประธานรัฐสภา เพราะเพื่อนสมาชิกยังมาเถียงกันอยู่เลยว่า จะต้องทำประชามติทั้งหมดกี่ครั้ง 2 หรือ 3 ครั้ง ดังนั้น หากประธานรัฐสภาใช้มาตรฐานเดียวกันที่กังวลว่าญัตติดังกล่าวที่เรากำลังพิจารณาอยู่นี้ น่าจะขัดต่อข้อกฎหมายที่ประธานวินิจฉัยแล้ว ก็กังวลเช่นเดียวกันว่าจะเป็นบรรทัดฐานที่เป็นความเหลื่อมล้ำของการตีความ อย่างไรก็ตาม เราต้องเดินหน้าต่อ
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ตนอยากถามเพื่อนสมาชิกว่า เหตุผลที่เราเห็นต่างนั้น เป็นเหตุผลทางการเมืองหรือเหตุผลทางกฎหมาย หากเป็นเหตุผลทางการเมืองเราต้องแก้ด้วยการเมือง แต่หากเป็นเหตุผลทางการเมืองแล้วเราใช้ข้ออ้างทางด้านข้อกฎหมาย ตนเชื่อว่าอย่างไรก็ไม่ได้คำตอบ จึงอยากให้เพื่อนสมาชิกให้สื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมาอย่างจริงใจ พวกตนไม่ได้ดื้อ พวกตนเล็งเห็นถึงปัญหาที่มี แต่พวกท่านออกมาสื่อสารกับสังคมอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่ว่าที่ท่านยังเดินหน้าแก้ไขต่อไม่ได้นั้น เพราะเพื่อนสมาชิกร่วมรัฐบาลบางส่วนไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่ปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย แต่เป็นปัญหาด้านการเมือง ที่เพื่อนสมาชิกเหล่านั้น หากพูดง่ายๆ คือเขาไม่มีแรงจูงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แก้ไปแล้วจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา สังคมก็ตั้งคำถามว่าเพื่อนสมาชิกเหล่านั้นเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐสภาหรือไม่ แก้แล้วเขาจะเสียอำนาจลงไปหรือไม่
นายณัฐพงษ์ กล่าวด้วยว่า นี่ต่างหากที่เป็นเหตุขัดข้องทำให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเดินหน้าต่อไม่ได้ ดังนั้น หากถามกันเรื่องเหตุและผล ตนก็อยากให้เพื่อนสมาชิกทุกคนมาประเมินผลได้ผลเสียที่จะได้จากการลงมติญัตติดังกล่าวว่าจะส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่ ซึ่งหากเรามุ่งมั่นตั้งใจที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ประชาชนจริงๆ ก็ลงมติไม่ส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญแล้วเดินหน้าแก้ไขมาตรา 256 ให้ทันก่อนปิดสมัยประชุมและให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญยกร่างแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 ถามว่า มีอะไรจะเสียที่หากในอนาคตศาลรัฐธรรมนูญมีการวินิจฉัยว่าต้องทำประชามติทั้งหมด 3 ครั้ง เราก็แค่รีเซ็ตใหม่ หากท่านเล็งเห็นต้นทุนของประเทศเป็นสำคัญ ไม่มีอะไรน่ากังวลและช้าไปกว่าเดิม หากศาลรัฐธรรมนูญมีธงอยู่แล้วว่าต้องทำประชามติ 3 ครั้ง การเดินหน้าแก้ไขมาตรา 256 ในวันนี้ก็ไม่มีอะไรเสีย เว้นแต่ต้นทุนที่ท่านจะยอมแลกท่านไม่ได้มองเห็นต้นทุนที่ประเทศจะเสีย แต่ท่านเล็งเห็นต้นทุนที่ท่านจะเห็น ตามที่มีคนอภิปรายว่าจะมีคดีเข้าตัวเองหากมีการฟ้องร้องสมาชิกรัฐสภาในภายหลัง
นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า มีการอภิปรายว่าหากยื่นศาลรัฐธรรมนูญคาดว่าจะใช้เวลาพิจารณา 1 เดือน แต่หากพิจารณาแล้วพบว่าการพิจารณาแก้รัฐธรรมนูญจะไม่ทันสมัยประชุมนี้ และต้องรอไปอีก 4 เดือน เท่ากับปิดโอกาสแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับให้ทันต่อการเลือกตั้งครั้งหน้าแน่นอน ดังนั้น ตนจึงขอตั้งคำถามว่าที่ต้องทำเช่นนี้ เพราะมีเหตุผลการเมืองหรือใช้ข้อกฎหมายบังหน้าหรือไม่ จึงอยากให้เพื่อนสมาชิกแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา ทั้งนี้ในญัตติที่ระบุว่ามีข้อขัดแย้งนั้น ตนมองว่าปัญหาข้อกฎหมายจะเกิดกรณีเดียวคือ ต้องการลงมติแล้วอย่างเดียวเท่านั้น ข้อขัดแย้งในการอภิปรายของสภาฯ วอล์กเอาท์ หรือไม่แสดงตนทำให้สภาล่ม ไม่เป็นอุปสรรคของการทำหน้าที่ปกติของสภาฯ และรัฐสภา
นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญมีความเกี่ยวข้องกับหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นที่มาขององค์กรอิสระต่างๆ ขจัดปัญหาด้านนิติสงคราม ซึ่งพรรค พท.ในอดีตก็เคยประสบปัญหาด้านนิติสงคราม พวกเราประสบปัญหาเดียวกัน นอกจากนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญยังเกี่ยวข้องกับการรับรองสิทธิต่างๆ ของประชาชนด้วย สิทธิเสรีภาพของประชาชน การยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ รวมถึงในอดีตเราเคยอยู่ในยุคหนึ่งที่เรารู้สึกว่าประเทศนี้มีเศรษฐกิจดี เป็นผู้นำในเวทีนานาชาติ ดูดีในสายตาโลกและนักลงทุน แต่ถามว่าทุกวันนี้เรายังหลงเหลือความภาคภูมิใจในชาติแบบนั้นอยู่หรือไม่
”ที่ผ่านมาเราค่อยๆ ถูกความขัดแย้งทางการเมือง รัฐธรรมนูญที่เป็นอประชาธิปไตยกัดกร่อนความภาคภูมิใจในชาติไปทีละเล็กทีละน้อย เราสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน วันนี้เราจะยอมสูญเสียต้นทุนต่างๆ ไปอีกหรือไม่ ผมเชื่อว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญดีต่อประชาชนทุกคนและทุกพรรคการเมืองเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งทั้งหมดที่ผมพูดไปได้สะท้อนแล้วว่าอะไรคือต้นทุนที่พวกเราต้องเสียไป จากการหยุดเดินหน้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศที่คอยการันตี และคอยรับประกันสิทธิหลายอย่าง ช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ให้กับประเทศ ดังนั้น ถ้าวันนี้เพื่อนสมาชิกถอยกลับไปที่เหตุผลข้อแรก ที่ว่าหากการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเหตุผลทางการเมือง รบกวนไปพูดคุยกันให้จบ แก้กันที่เหตุผลทางการเมือง นายกรัฐมนตรีต้องแสดงบทบาทผู้นำในการควบคุมเสียงรัฐบาลให้ได้ แล้วเราจะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญนูญฉบับนี้ได้“ นายณัฐพงษ์ กล่าว