นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า ทางผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์คาดหวังว่าการประชุมคณะรัฐมตรี(ครม.)วันที่ 18 มีนาคม 2568 นี้ จะมีการพิจารณามาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ออกมาโดยเร็ว โดยเฉพาะมาตรการการต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมการโอนและจดจำนอง 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ ได้เข้าหารือร่วมกับนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไปเมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมาและมีแนวโน้ม มีสัญญาณที่ดี
ขณะเดียวกันอยากให้มียาแรงเลิกมาตรการ LTV ในทุกระดับราคา เป็นการชั่วคราว 2 ปี และมีซอฟต์โลนวงเงิน 1-2 แสนล้านบาท จากธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) อัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 3% ระยะเวลา 3 ปี ออกมากระตุ้นเพิ่มด้วย เพื่อให้เกิดการกระตุ้นกำลังซื้อได้มากยิ่งขึ้น
“มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ อยากให้ออกมาก่อนวันที่ 20 มีนาคมนี้ เพราะเป็นช่วงที่ผู้ประกอบการอสังหาฯมีการจัดมหกรรมบ้านและคอนโดในระหว่างวันที่ 20-23 มีนาคม ซึ่งเป็นงานที่ผู้ประกอบการต่างก็คาดหวังจะมียอดขาย ถ้าหากภาครัฐสามารถออกมาตรการมาได้ในช่วงเวลาดังกล่าว จะทำให้คนที่ชะลออยู่ ตัดสินใจได้เร็วขึ้น เพราะอย่างการลดค่าโอน 0.01% สามารถลดค่าใช้จ่ายได้ถึงล้านละ 30,000 บาท แม้ผู้ประกอบการจะมีโปรโมชั่นลดค่าโอนให้ แต่ถ้ามีมาตรการออกมาผู้ประกอบการจะนำส่วนนี้ไปทำเป็นส่วนลดเพิ่มเติมให้กับลูกค้าได้” นายสุนทรกล่าว
นายสุนทร กล่าวว่า ส่วนซอฟต์โลนของธอส.ถ้าหากมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องภายใต้วงเงิน 2 แสนล้านบาท คาดการณ์ว่าจะสามารถช่วยดูดซับซัพพลายในตลาดได้อีกประมาณ 75,000-80,000 หน่วย ประเมินจากวงเงินกู้ของลูกค้าธอส.ซึ่งส่วนใหญ่จะซื้อบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท หรือโดยเฉลี่ย 2.5 ล้านบาท รวมถึงสะท้อนจากการปล่อยสินเชื่อในครั้งที่แล้วของธอส.วงเงิน 1.2 แสนล้านบาท พบว่ามีดีมานด์อยู่จำนวนมากและหมดในเวลาอันรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่าคนอยากซื้อบ้านยังมี แต่ที่ผ่านมาเข้าไม่ถึงสินเชื่อ ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยต่ำจึงมีผลต่อกำลังการผ่อนชำระและการกู้ซื้อบ้าน
นายสุนทร กล่าวว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2568 สถานการณ์ตลาดอสังหาฯยังแย่อยู่ มียอดรีเจ็กต์เรตหรือถูกปฏิเสธสินเชื่อทั้งตลาดมากกว่า 40% แบ่งเป็นระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท 55-60% ระดับราคา 3-7 ล้านบาท 40% และระดับราคา 7 ล้านบาทขึ้นไป 15%
“อยากขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งกำกับดูแลแบงก์พาณิชย์ ให้ลดอัตราดอกเบี้ยภาคปฎิบัติให้ลงมาถึงภาคธุรกิจและผู้บริโภคให้ใกล้เคียง 0.25% ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินหรือกนง.มีมติออกมา เพราะดูจากอัตราดอกเบี้ยที่แบงก์ประกาศปรับลดลงมาแค่ 0.10% และเมื่อรวมกับครั้งที่แล้วก็ลดลงแค่ 0.20% เท่านั้น ขณะเดียวกันในการประกาศดอกเบี้ยยังดีเลย์ ไม่ได้ตอบรับในทันทีหลังกนง.มีมติ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ และไม่ใช่แค่ภาคอสังหาฯอย่างเดียว ยังรวมถึงธุรกิจอื่นๆด้วย ซึ่งแบงก์พาณิชย์ในช่วง 3-4 ปีนี้ไม่มีบทบาทในการฟื้นเศรษฐกิจไทย” นายสุนทรกล่าว
นายอุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ถ้าหากไม่มีมาตรการกระตุ้นอสังหาฯออกมา จะส่งผลให้ปีนี้เป็นอีกปีที่เหนื่อยมากยิ่งขึ้น ซึ่งกำลังซื้อและรีเจกต์เรตยังเป็นโจทย์ท้าทายของผู้ประกอบการ ขณะที่แบงก์ก็ปรับลดอัตราดอกเบี้ยไม่เป็นไปตามแนวทางของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งไม่พอต่อการกระตุ้นกำลังซื้อและการเข้าถึงสินเชื่อ
ดังนั้นอยากขอให้ภาครัฐมีมาตรการออกมาช่วยประคับประคองตลาด โดยต่ออายุมาตรการลดค่าโอนและจำนอง 0.01% ผ่อนคลายมาตรการLTV ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก รวมถึงเร่งรัดพิจารณาขยายอายุการเช่าจาก 30 ปี เป็น 99 ปี เพื่อดึงเม็ดเงินจากต่างชาติเข้ามา ซึ่งธุรกิจอสังหาฯถือเป็นอีกฟันเฟืองกระตุ้นเศรษฐกิจ