เอ่ยชื่อ คุณเก๋ขนมหวาน น้อยคนนักที่ไม่รู้จักขนมหวานแบรนด์ดัง ที่สามารถสร้างยอดขายจากร้านขนมเล็ก ๆ ผลิตหลังร้านขายยา มีจุดเริ่มต้นในปี 2540 สู่แบรนด์ขนมไทยชั้นนำแบรนด์ “คุณเก๋ขนมหวาน” จนสามารถวางจำหน่ายใน 7-Eleven ครั้งแรกในปี 2551 ด้วยเมนู “วุ้นกะทิมะพร้าวอ่อน”
ยังได้รับความไว้วางใจให้ผลิต OEMให้ 7-Eleven ภายใต้แบรนด์ EZY SWEET ต่อยอดการพัฒนาร่วมกันอย่างต่อเนื่อง จนขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของขนมไทยใน7-Eleven ที่มีการจัดจำหน่ายทุกสาขาทั่วประเทศ
ด้วยกลุ่มสินค้าหลัก 3 ประเภท ได้แก่ กลุ่มขนมหวานบรรจุถ้วย เช่น ข้าวโพดมะพร้าวอ่อนกะทิสด สาคูเปียกข้าวโพด บัวลอยเผือกมะพร้าวอ่อน สาคูเมล่อน, กลุ่มวุ้น เช่น วุ้นเป็ดกะทิ วุ้นนานาชนิด และ ลูกชุบแฟนซี มีกำลังการผลิต 120,000 ชิ้น/วัน ยอดขายกว่า 100 ล้านชิ้น/ปี
ปี 2567 ขนมไทย by คุณเก๋ขนมหวาน เติบโตแบบก้าวกระโดด ด้วยยอดขายทะลุ 387 ล้านบาท ด้วยโมเดลธุรกิจที่มุ่งเน้นการเข้าใจ Customer Insight และ Product Innovation และในปี 2568 ตั้งเป้าทะยานสู่ยอดขาย 600 ล้านบาท ภายใต้กลยุทธ์ Soft Powerและ ESG Model และมียอดขายแตะ 1,000 ล้านบาทภายใน 3 ปี
มนสวรรณ ศรัณย์เวชกุล ซีอีโอบริษัท คุณเก๋ขนมหวาน จำกัด กล่าวว่า ขนมไทยไม่ใช่แค่ของหวาน แต่คือมรดกทางวัฒนธรรมที่เราภาคภูมิใจและพร้อมส่งต่อให้ทั่วโลกได้ลิ้มลอง ด้วยแนวคิดนี้ แบรนด์จึงเดินหน้าผลักดันขนมไทยให้เป็นมากกว่าของกินเล่น เรามุ่งมั่นเป็นผู้นำตลาดขนมไทยพร้อมทานอันดับหนึ่งใน 7-Eleven ด้วยยอดจำหน่ายเกือบ 400 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา และปริมาณการผลิตมากกว่า 100 ล้านชิ้นต่อปี
“สะท้อนถึงความเชี่ยวชาญและความเป็นผู้นำด้านขนมไทย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จาก กะทิ และ ผลิตภัณฑ์ทางเกษตร อาทิ ทับทิมกรอบ สาคูเปียกข้าวโพด บัวลอยเผือก รวมถึงวุ้นเป็ดมะพร้าวอ่อน วุ้นแฟนซี และลูกชุบ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ภายใต้แบรนด์ EZY SWEET อีกทั้งยังสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดได้อย่างต่อเนื่อง 3-4 SKU ต่อเดือน” มนสวรรณกล่าว
ยังให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและการสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมถึงพัฒนาไลน์สินค้าเฉพาะเทศกาล เช่น ลูกชุบคริสต์มาส และวุ้นส้มนมสด ซึ่งพร้อมขยายการผลิตให้ครอบคลุมทั้งกลุ่ม Mass และ Premium Mass ผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย เพื่อยกระดับขนมไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
ปัจจุบัน บริษัท คุณเก๋ขนมหวาน จำกัด มียอดขายเฉลี่ย 40 ล้านบาทต่อเดือน ผ่านขนมไทย จำหน่ายโดย 7-Eleven รวม 14 SKU และช่องทางการจัดจำหน่ายอื่นๆ มากว่า 100 SKU โดยยังมีแผนขยายช่องทาง E-Commerce บนแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Facebook / Line / TikTok Shop เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคยุคใหม่
ยังเน้นการเพิ่มมูลค่าต่อยอดผลิตภัณฑ์เดิมให้มีมูลค่าเพิ่ม ผ่าน Brand Storytelling, Packaging Design และการทำ Collaboration กับพาร์ทเนอร์ทั้งในและต่างประเทศ
ด้วยกลยุทธ์หลักที่ช่วยให้แบรนด์เติบโตแบบก้าวกระโดด
1. Product Innovation: สร้างสรรค์ขนมไทยรูปแบบใหม่ที่ผสานรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการ เช่น ขนมไทยเพื่อสุขภาพ และขนมไทย Functional Food
2. Multi-Channel Distribution: ขยายการจำหน่ายผ่านทั้ง Modern Trade, E-Commerce และ Horeca (โรงแรม ร้านอาหาร คาเฟ่)
3. BrandMarketing: ใช้ Influencer และแคมเปญ Social Media เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่
4. Export Expansion: ปูทางสู่ตลาดต่างประเทศ โดยแบรนด์มีแผนลุยตลาดกัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนามในปี 2569 พร้อมนำเสนอขนมไทยในรูปแบบที่เหมาะสมกับตลาดโลก เช่น ขนมไทยพร้อมทานที่ยืดอายุได้นานขึ้น แต่ยังคงรสชาติแบบต้นตำรับ โดยไม่ใช้สารกันบูด
“นอกจากการขยายตลาด เรายังให้ความสำคัญกับโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียนหรือBCG Model และ ESG Model เน้นใช้วัตถุดิบจากเกษตรกรไทย เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน ลดของเสียจากการผลิต พัฒนาบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก เช่น บรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมารีไซเคิลได้ 100% ยังมีแผนปรับสูตรขนมให้ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพ เช่น ลดน้ำตาล เพิ่มส่วนผสมจากธรรมชาติ และใช้นวัตกรรมอาหารเพื่อยืดอายุผลิตภัณฑ์ และเราเป็น SME รายเดียวที่ได้รับรางวัล BCG Model โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในปี 2567” มนสวรรณกล่าว
พร้อมกับย้ำว่า อนาคตของขนมไทย จะไม่ใช่แค่ขนม แต่คือ ซอฟต์พาวเวอร์ที่ทรงพลัง ตลาดขนมไทยกำลังเปลี่ยนโฉมไปสู่ Thai Dessert 4.0 ซึ่งไม่ใช่แค่ของหวานที่รับประทานหลังมื้ออาหาร แต่เป็นสินค้าที่สะท้อนถึงวัฒนธรรม, คุณค่า และความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย
“เราจึงเดินหน้าปั้นแบรนด์ให้เติบโตสู่ระดับโลก ภายใต้แนวคิด อร่อย ทันสมัย คุ้มค่า และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2570” มนสวรรณกล่าวทิ้งท้าย