ในวงการอาหารทะเล อุตสาหกรรมกุ้งไทยเคยเป็นดาวรุ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ โดยเฉพาะในด้านการส่งออก ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่าแสนล้านบาทต่อปี และเมื่อย้อนกลับไปในปี 2552 ผลผลิตกุ้งของไทยสูงสุดถึง 600,000 ตัน แต่กลับปรากฏว่าหลังจากนั้น อุตสาหกรรมนี้กลับเริ่มเผชิญวิกฤติอย่างหนักหน่วงเนื่องจากการระบาดของโรคตายด่วน (Early Mortality Syndrome : EMS) ในช่วงปี 2555-2557 ส่งผลให้ผลผลิตลดลงอย่างรุนแรงเหลือเพียง 300,000 ตัน ปัญหานี้ไม่เพียงแต่ทำให้ไทยสูญเสียตำแหน่งในตลาดโลก แต่ยังส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศในหลายด้าน
เมื่อปัญหาโรคระบาดเป็นปัญหาเรื้อรัง การเลี้ยงกุ้งในระบบดั้งเดิม เน้นการเปิดน้ำจากแหล่งธรรมชาติและไม่ควบคุมคุณภาพน้ำจึงไม่ตอบโจทย์ เมื่อน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อแพร่กระจายในบ่อ หรือปล่อยให้มีสัตว์พาหะปะปนเข้าบ่อทำให้อัตราการตายของกุ้งเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกษตรกรขาดทุนหนักเป็นสาเหตุหลักให้หลายคนเลิกอาชีพ และปล่อยฟาร์มให้รกร้าง เกิดปัญหาทั้งด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมตามมา
ตามรายงานของ SCB EIC ในปี 2024 พบว่าการส่งออกกุ้งของไทยมีมูลค่าเพียง 1,134.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งลดลงถึง 7.4% โดยมีปัจจัยหลักมาจากการแข่งขันด้านราคาในตลาดโลกและอัตราการรอดของกุ้งที่ต่ำลง เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม คาดการณ์ว่ามูลค่าการส่งออกกุ้งไทยจะมีแนวโน้มลดลงต่อไปในปี 2025 อีก 2.3% อย่างต่อเนื่อง
หากต้องการพลิกฟื้นอุตสาหกรรมกุ้งไทยให้กลับมายั่งยืน จำเป็นต้องเปลี่ยนแนวทางการเลี้ยงไปสู่ระบบที่มีความรับผิดชอบและประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) ซึ่งตอบโจทย์การป้องกันโรคตั้งแต่ต้นทาง การติดตั้งมาตรการป้องกันเช่น ตาข่ายป้องกันนก การจัดการพื้นที่ฟาร์มให้มีความปลอดภัย และระบบกรองน้ำที่มีประสิทธิภาพ จะทำให้เกษตรกรสามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและการขาดทุนได้อย่างมาก
ในด้านการใช้เทคโนโลยี การมีระบบการเลี้ยงแบบปิดหรือกึ่งปิด สามารถควบคุมปัจจัยภายนอกได้ดีจะช่วยให้การเลี้ยงกุ้งมีเสถียรภาพมากขึ้น ระบบน้ำหมุนเวียนที่ผ่านการกรองและฆ่าเชื้อก่อนปล่อยเข้าบ่อ จะมีส่วนช่วยลดโอกาสการติดเชื้อจากภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ การปรับปรุงบ่อร้างและการเลี้ยงด้วยมาตรฐานใหม่ที่คำนึงถึงความปลอดภัยทางชีวภาพ จะช่วยให้เกษตรกรสามารถกลับมาเลี้ยงกุ้งได้อีกครั้ง โดยมีความเสี่ยงต่ำกว่าเดิม
ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและจูงใจให้เกษตรกรเปลี่ยนแปลงระบบการเลี้ยงอย่างจริงจัง โดยรัฐบาลได้ประกาศแผนปฏิบัติการยกระดับอุตสาหกรรมกุ้งเป็นวาระแห่งชาติในปี 2568-2572 ด้วยงบประมาณกว่า 5,178 ล้านบาท ผ่านการกำหนด 11 มาตรการสำคัญ เช่น การพัฒนาพ่อแม่พันธุ์ การส่งเสริมระบบการจัดการฟาร์มที่ยั่งยืน การจัดการโรคกุ้ง การสร้างแบรนด์และขยายช่องทางการตลาดไปยังต่างประเทศ ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและโลจิสติกส์
การพัฒนาศักยภาพด้านการตลาดจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมการส่งออกของกุ้งไทย โดยการสร้างแบรนด์และการตระหนักถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์จะช่วยให้สามารถสร้างความมั่นใจในกลุ่มลูกค้า ในขณะเดียวกัน การทำงานร่วมกันกับองค์กรและหน่วยงานที่สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีการเลี้ยงและการจัดการฟาร์ม จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
ในระยะยาว ประเทศไทยต้องเตรียมตัวในการแข่งขันกับผู้ผลิตกุ้งรายใหญ่ เช่น เอกวาดอร์ อินเดีย และอินโดนีเซียซึ่งมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า กุ้งไทยจึงจำเป็นต้องเร่งปรับตัวให้ทันกับแนวโน้มการผลิตสมัยใหม่ที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานคุณภาพ ความปลอดภัยทางชีวภาพ พร้อมกับความยั่งยืนในการผลิต
ท้ายที่สุด การเปลี่ยนแปลงแนวทางการเลี้ยงกุ้งอย่างจริงจัง ประกอบกับการสนับสนุนจากภาครัฐและการปรับตัวของเกษตรกร จะทำให้อุตสาหกรรมกุ้งไทยมีโอกาสกลับมาเป็นผู้นำในตลาดโลกอีกครั้ง การทวงคืนแชมป์การส่งออกกุ้งไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม หากทุกฝ่ายรวมแรงร่วมใจผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ยั่งยืน ระหว่างการทำงานร่วมกันของคนในวงการ อุตสาหกรรมกุ้งไทยจึงมีความหวังฟื้นฟูและสร้างคุณค่าใหม่ต่อประเทศและต่อสังคมในอนาคต