พปชร. ชี้ร่างกฎหมายศูนย์กลางการเงินทำลายความน่าเชื่อถือ ธปท. และระบบการเงินของประเทศ คาดเอื้อภาคการเมืองเพิ่มปริมาณเงินตามที่ต้องการ
เมื่อวันที่ 18 มี.ค.68 ที่พรรคพลังประขารัฐ (พปชร.) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง ในฐานะประธานร่วมศูนย์นโยบายและวิชาการ พปชร.แถลงข่าวเตือนรัฐบาล เกี่ยวกับ ร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลาง การประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. ... จะทำลายระบบการเงินของประเทศ ตามที่เมื่อวันที่ 14 มี.ค.68 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวบนเวทีงาน " MFC’s 50th Anniversary -The World’s Next Opportunities and Beyond เปิดโอกาสลงทุนแห่งอนาคต"ว่า พรรคเพื่อไทยอยากให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของบล็อคเชนและคริปโตเคอเรนซี่ จึงจะดำเนินการ 3 เรื่อง คือ 1.ออกเงินดิจิทัลในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 2.จัดทำแซนบ็อกซ์ที่ภูเก็ตเพื่อใช้คริปโตเคอเรนซี่เป็นสกุลเงินในการแลกเปลี่ยน 3.ออกเงินดิจิทัลแบบสเตเบิ้ลคอยน์ stable coin โดยเตรียมแผนไว้ให้ดำเนินการได้ภายใน 3เดือน นั้น
นายธีระชัย กล่าวต่อว่า แผนดำเนินการ3 เรื่องดังกล่าว ภายใต้กรอบกฎหมายปัจจุบันจะต้องผ่านการพิจารณาของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในเรื่องกฎหมายเงินตราและในเรื่องกฎหมายระบบการชำระเงิน แต่กลับไม่แถลงว่ารัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยได้มีการปรึกษาหารือกับ ธปท. แต่อย่างใด จึงบ่งชี้ว่ารัฐบาลจะไม่ดำเนินการภายในกรอบกฎหมายปัจจุบัน
"การที่นายทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมากล่าวเช่นนี้ บ่งชี้ว่ารัฐบาลมุ่งจะผ่าน ร่างพ.ร.บ.ศูนย์กลาง การประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. ... เพื่อออกใบอนุญาตบริษัทการเงินรายใหม่ ให้สามารถทำธุรกิจเข้ามาในตลาดภายในประเทศ แต่จะมีการตัดอำนาจของ ธปท. ก.ล.ต. คปภ. ออกไป โดยจะจัดตั้งเป็นสำนักงานขึ้นมาใหม่ที่รวบอำนาจการพิจารณาออกใบอนุญาต และการออกกติกากำกับธุรกิจแทนองค์กรเหล่านี้" นายธีระชัย กล่าว
นายธีระชัย กล่าวเตือนให้รัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาลตระหนักว่า การตัดอำนาจขององค์กรอิสระออกไปเช่นนี้จะทำลายระบบการเงิน เพราะจะเปิดให้ภาคการเมือง สามารถเพิ่มปริมาณเงินได้เองตามที่ต้องการในรูปแบบเงินดิจิทัลที่ไม่ต้องมีทองคำหนุนหลัง ซึ่งจะกระทบต่อความเชื่อมั่นทั้งในนโยบายการเงินและในค่าเงินบาทอย่างหนัก
อดีตรมว.คลัง กล่าวต่อว่า สำหรับความมุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของบล็อคเชนและคริปโตเคอเรนซี่นั้น รัฐบาลจะต้องทำเฉพาะในหมู่บุคคลผูัมีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ โดยจะต้องไม่ปล่อยให้ลามเข้ามาตลาดในประเทศ ทั้งที่ไม่ได้รับฉันทานุมัติจาก ธปท. เสียก่อน เพราะจะทำให้ ธปท.คุมปริมาณเงินไม่ได้ และจะก่อความเสี่ยงต่อระบบการชำระเงินอันเป็นกระดูกสันหลังของระบบการเงินที่รองรับทั้งการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตรา เงินทุนที่ไหลเข้าออกตลาดเงินตลาดทุน และการนำเข้าและส่งออกทั้งสินค้าและบริการ
นายธีระชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการบริหาร พปชร. ได้รับทราบปัญหาความเสี่ยงที่จะเกิดต่อระบบการเงิน และจะทำให้โลกขาดความเชื่อถือในนโยบายการเงินของไทย จึงมีมติให้คัดค้านร่างกฎหมายฉบับนี้ให้ถึงทึ่สุด เว้นแต่จะมีการแก้ไขปรับปรุงให้เหมาะสม ทั้งนี้ รัฐบาลสามารถนำเอาเทคโนโลยีบล็อกเชนและเศรษฐกิจดิจิทัลในการบริหารประเทศได้อยู่แล้ว โดยต้องไม่ไปทำลายความน่าเชื่อถือของ ธปท. และระบบการเงินของประเทศ