ผู้เขียน | โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ |
---|
สาธารณรัฐอาหรับซีเรีย เป็นประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางมีเนื้อที่ประมาณ 185,180 ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ 17,951,639 คน โดยมีประชากรกลุ่มชาติพันธุ์และศาสนาหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่เป็นชาวอาหรับซุนนีซึ่งเป็นกลุ่มประชากรใหญ่ที่สุด คือประมาณ 67% ของชาวซีเรียทั้งหมดในปัจจุบัน มีชาวอาหรับอลาวีห์ (สาขาหนึ่งของนิกายชีอะห์) มีประมาณ 11% ชาวอาหรับที่นับถือศาสนาคริสต์มีประมาณ 11% ชาวอาหรับดรูซ (สาขาหนึ่งของนิกายชีอะห์) มีประมาณ 3% ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์อื่นได้แก่ ชาวเคิร์ดซุนนีเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดคือมีถึง 7% ที่เหลือก็คือชาวอาร์มีเนีย อัสซีเรีย และเติร์ก
ประเทศซีเรียได้รับเอกราชในเดือนเมษายน พ.ศ.2489 เป็นสาธารณรัฐระบบรัฐสภา สมัยหลังได้รับเอกราชก็มีความจลาจลวุ่นวาย มีกลุ่มต่างๆ พยายามที่จะทำรัฐประหารอยู่เนืองๆ สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง ในช่วง พ.ศ.2492 ถึง พ.ศ.2514
ในระหว่าง พ.ศ.2501 ถึง พ.ศ.2504 ประเทศซีเรียเข้าร่วมสหภาพช่วงสั้นๆ กับอียิปต์ ซึ่งสิ้นสุดลงด้วยรัฐประหาร โดยคณะรัฐประหารได้ประกาศให้ประเทศซีเรียอยู่ภายใต้กฎหมายฉุกเฉินตลอดช่วง พ.ศ.2506 ถึง พ.ศ.2554 ซึ่งก็คือปกครองแบบเผด็จการนั่นเอง โดยมี นายฮาเฟซ อัสซาด อดีตนายทหารอากาศของกองทัพซีเรีย (ผู้เป็นพวกอลาวีห์ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่คือพวกซุนนี) ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคือผู้เผด็จการสูงสุดระหว่าง พ.ศ.2513 ถึง พ.ศ.2543 เมื่อเขาเสียชีวิตลง นายบาชาร์ อัสซาด บุตรชาย ก็ได้เป็นประธานาธิบดีผู้เผด็จการสืบทอดจากบิดาตั้งแต่ พ.ศ.2543 จนชาวซีเรียส่วนใหญ่สุดทนที่จะต้องอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการถึง 46 ปี อันยาวนาน ใน พ.ศ.2554 จึงลุกฮือขึ้นก่อสงครามกลางเมืองเพื่อกำจัดระบอบเผด็จการเสียให้สิ้นซาก แต่กำลังทหารและระบบราชการของซีเรียทั้งหมดอยู่ในกำมือของพวกอลาวีห์อย่างมั่นคงแล้ว นอกจากนี้ รัฐบาลซีเรียได้รับความช่วยเหลือทางเทคนิค การเงิน การทหารและการเมือง จากประเทศรัสเซีย อิหร่าน และอิรัก (2 ประเทศหลังมีรัฐบาลเป็นพวกชีอะห์เหมือนกัน) มาตั้งแต่เริ่มต้นสงครามกลางเมืองแล้ว
ใน พ.ศ.2556 ทหารอาสาของฮิซบอลเลาะห์ (ชีอะห์) จากเลบานอนที่อิหร่านเป็นสปอนเซอร์ได้เข้าร่วมสงครามโดยสนับสนุนกองทัพซีเรียของนายบาชาร์ อัสซาด นอกจากนี้ ในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2558 ประเทศรัสเซียเริ่มการปฏิบัติการโจมตีฝ่ายกบฏ โดยใช้กำลังทัพทางอากาศของตนตามคำขอของรัฐบาลซีเรียจึงเกิดสงครามตัวแทนระหว่างสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย ซึ่งความจริงมีประเทศต่างๆ นับสิบประเทศเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในสงครามกลางเมืองซีเรียโดยตรงเลยทีเดียว เนื่องจากสงครามกลางเมืองของซีเรียในครั้งนี้มีหลายประเทศได้เข้ามาถือหางทั้งทางฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายกบฏ ความขัดแย้งนี้จึงถูกเรียกว่าเป็น “สงครามตัวแทน” ระหว่างประเทศที่มีชาวมุสลิมซุนนีและประเทศที่มีมุสลิมชีอะห์ในภูมิภาคตะวันออกกลางหลายประเทศ จนกระทั่งต้องพ่ายแพ้ต่อกองกำลังชาวอาหรับซุนนีหัวรุนแรงภายใต้การสนับสนุนของตุรกีที่สามารถบุกเข้ายึดเมืองหลวงดามัสกัสได้สำเร็จทำให้นายบาชาร์ อัสซาด ต้องหนีไปลี้ภัยอยู่ที่รัสเซียเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2567 วันที่ 12 ธันวาคม 2024 คณะกรรมการปลดปล่อยแห่งชาติซีเรียประกาศจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลชั่วคราวในดามัสกัส โดยมี พ.อ.อาเหม็ด อัล-ชาอะ ซึ่งเป็นผู้นำฝ่ายกบฏสายชาตินิยม-อิสลามสายกลาง และได้รับการสนับสนุนจากตุรกี เป็นประธานคณะกรรมการบริหารประเทศ ต่อมาในวันที่ 10 มกราคม 2025 มีการจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเขตควบคุมของรัฐบาลใหม่ ซึ่งแม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความไม่เป็นกลาง แต่ก็ถูกมองว่าเป็นก้าวแรกของการฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยแบบมีการกำกับซึ่งนายอาเหม็ด อัล-ชาอะ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีซีเรียคนใหม่ ด้วยคะแนนเสียงราว 67% โดยมีคำมั่นว่าจะนำพาซีเรียสู่ระบอบรัฐธรรมนูญ, ปฏิรูปโครงสร้างรัฐ, แก้ปัญหาชนกลุ่มน้อย และเจรจาสันติภาพกับกลุ่มที่ยังไม่ยอมจำนน
ครับ! ปัญหาเฉพาะหน้าของรัฐบาลประธานาธิบดี อาเหม็ด อัล-ชาอะ ก็คือการแก้ปัญหาชนกลุ่มน้อยและเจรจาสันติภาพกับกลุ่มที่ยังไม่ยอมจำนนนั่นเอง อันได้แก่
1) ชาวอลาวีห์ : ภายหลังการล่มสลายของรัฐบาลบาชาร์ อัล-อัสซาด กลุ่มอลาวีห์จำนวนมากถอยร่นกลับไปตั้งมั่นในพื้นที่ชายฝั่ง เช่น ลาตาเกีย และทาร์ตุส มีความวิตกอย่างลึกซึ้งว่าจะถูก “กวาดล้างทางการเมือง” และถูกลดบทบาททางสังคมซึ่งชาวอลาวีห์เคยยิ่งใหญ่ในสมัยพ่อ ลูกตระกูลอัสซาดมากว่า 6 ทศวรรษ การที่รัฐบาลใหม่ยังไม่ได้เสนอแนวทางฟื้นฟูความสัมพันธ์กับชุมชนอลาวีห์อย่างจริงจัง ยิ่งทำให้เกิดช่องว่างแห่งความหวาดระแวง
2) ชาวเคิร์ด : รัฐบาลใหม่พยายามสร้างภาพว่าเคารพอธิปไตยของเขตปกครองตนเองของเคิร์ด แต่ในทางปฏิบัติยังมีการเสียดสีทางการทูตและข่าวกรองอย่างต่อเนื่อง ตุรกีซึ่งเป็นผู้สนับสนุนรัฐบาลใหม่ยังคงมองกลุ่มชาวเคิร์ดว่าเป็นภัยคุกคาม ความสัมพันธ์จึงอยู่ในภาวะ “เย็นชาทางยุทธศาสตร์”
3) ชาวดรูซ : ชุมชนดรูซในแถบอัส ซุไวดีทางตอนใต้ของซีเรีย กลับมีความหวังปานกลางต่อรัฐบาลใหม่ เพราะอาเหม็ด อัล-ชาอะ เคยแต่งตั้งผู้นำดรูซเข้าไปร่วมคณะกรรมการฟื้นฟูชาติ อย่างไรก็ตาม กลุ่มหัวแข็งในดรูซยังสงวนท่าที เพราะยังไม่มีหลักประกันเรื่องสิทธิเสรีภาพทางศาสนาและการปกครองตนเอง
4) ชาวซุนนีทั่วไป : แม้เป็นกลุ่มที่รัฐบาลใหม่มีฐานเสียงมากที่สุด แต่ก็ยังมีความแตกแยกระหว่างกลุ่มสายเคร่งศาสนากับกลุ่มสายเสรีนิยม โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของอัสซาด การคานอำนาจของ 2 กลุ่มนี้จึงเป็นภารกิจสำคัญของอาเหม็ด อัล-ชาอะ
สรุปได้ว่าการเมืองใหม่ของซีเรียหรือระบอบใหม่ที่เปลี่ยนแค่คนที่กุมอำนาจเท่านั้น เพราะภายใต้ฉากหน้าของการปลดปล่อยและการปฏิรูป ซีเรียภายใต้การนำของอาเหม็ด อัล-ชาอะ ยังคงมีความเป็นรัฐทหารแฝงอยู่ในโครงสร้าง แม้จะมีสัญญาณของการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น แต่ก็ยังคงห่างไกลจากประชาธิปไตยแบบมีสาระสำคัญ
โกวิท วงศ์สุรวัฒน์