คาดกม. entertainment complexเข้าสภาเร็วๆนี้ 'นักวิชาการ' ห่วงคอร์รัปชั่นไทยดุทำควบคุมยาก
GH News March 19, 2025 05:12 PM

‘จุลพันธ์’ คาดกฎหมาย entertainment complex เข้าสภาเร็ว ๆ นี้ ยืนยันเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ปักธงดูดเงินลงทุนอย่างต่ำ 1 แสนล้านบาท บูมท่องเที่ยวโต 5-10% การันตีวาดกลไกบริหารจัดการดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ ด้านนักวิชาการห่วงคอร์รัปชั่นดุทำบังคับใช้กฎหมายในการควบคุมยาก หวั่นปัญหาคนติดพนัน-ฟอกเงิน-ธุรกิจสีเทา-ค้ามนุษย์ตามมา!!

19 มี.ค. 2568 – นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดทำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถาบันเทิงครบวงจร (entertainment complex) ว่า ขณะนี้กฤษฎีกาได้ตอบกลับความคิดเห็นกลับมาแล้ว โดยยอมรับว่ามีประเด็นที่ถูกแก้ไขในหลายเรื่อง ซึ่งเป็นทั้งข้อห่วงใยของสังคม โดยเฉพาะเรื่องขอบเขตพื้นที่ในการจัดตั้ง กลไกในการเข้าถึง และขณะนี้อยู่ระหว่างการส่งหนังสือเวียนเพื่อขอรับความคิดเห็นจากหน่วยงานต่าง ๆ โดยกระทรวงการคลังพร้อมรับความคิดเห็นดังกล่าว ก่อนส่งกลับไปยังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และผลักดันเข้าสภาต่อไป เพื่อเริ่มต้นประบวนการตามกฎหมาย โดยคาดว่าสภาจะมีการพิจารณาได้เร็ว ๆ นี้

ทั้งนี้ ยืนยันว่า entertainment complex เป็นโมเดลธุรกิจหนึ่งที่ใช้ในหลายประเทศ ไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้น เช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ดูไบ และสหรัฐฯ ซึ่งในหลายประเทศประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ขณะที่หลายประเทศก็น่าเป็นห่วง เช่นประเทศเพื่อนบ้านของไทย แต่นั่นไม่ใช่โมเดลที่ประเทศไทยจะนำมาใช้ รัฐบาลไม่ได้จะดำเนินการจัดตั้งเพียงแค่กาสิโนเท่านั้น แต่รัฐบาลต้องการสร้าง entertainment complex ให้เป็น Tourist Man-made Destination ที่จะสามารถรองรับการท่องเที่ยวได้ทั้งครอบครัว

“การเติบโตของเศรษฐกิจไทยช่วง 30 ปีหลังชะลอตัวลงมาเรื่อย ๆ และ 10 ปีหลัง เหลือโต 2% เป็นตัวเลขเศรษฐกิจที่รัฐบาลมองว่าไม่เพียงพอที่จะเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงประชาชนในประเทศกำลังพัฒนาได้ ตอนนี้ทุกคนรู้สึกถึงความลำบาก วันนี้การเติบโตทางเศรษฐกิจจึงเป็นเป็นเป้าหมายสำคัญของรัฐบาล แต่ต้องยอมรับว่าเรากลับไม่มีตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ ๆ มานาน ซึ่ง entertainment complex จะเป็น Game Changer ใหม่ให้กับเศรษฐกิจไทยได้ โดยรัฐบาลเชื่อมั่นว่าภายหลังดำเนินโครงการ อัตราการเติบโตด้านการท่องเที่ยวจะเพิ่มจากฐานไม่ต่ำกว่า 5-10% ต่อปี การใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยว คาดว่าจะเพิ่มจาก 4 หมื่นบาท เป็น 6 หมื่นบาทต่อหัวได้” นายจุลพันธ์ กล่าว

อย่างไรก็ดี กฎหมายที่กำลังดำเนินการได้มีการกำหนดนิยามของ entertainment complex คือ การให้บริการเพื่อการท่องเที่ยว พักผ่อนหย่อนใจ ซึ่งมีรูปแบบสถานบันเทิงในหลายประเภทรวมอยู่ ไม่ใช่กาสิโนแบบ Stand Alone แน่นอน โดยกำหนดสัดส่วน 1 ต่อ 4 คือ เมื่อมีกาสิโน 1 แห่ง จะต้องมีองค์ประกอบอย่างน้อย 4 อย่าง เช่น โรงแรม สวนสนุก สวนน้ำ โอท็อป ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร อาคารไมซ์ เป็นต้น เหล่านี้จะต้องประกอบเข้าด้วยกันเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งประเมินว่าโครงการ entertainment complex จะมีเม็ดเงินลงทุนอย่างต่ำราว 1 แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

สำหรับข้อห่วงใยจากภาคส่วนต่าง ๆ นั้น ยืนยันว่ารัฐบาลกำลังสร้างกลไกของกฎหมายในการกำกับ ควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น รัฐบาลพร้อมรับฟังความคิดเห็นของทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วม ร่วมคิด ร่วมทำกฎหมายที่จะมีความเหมาะสมในการบังคับใช้กับประเทศไทย ในการป้องกันปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างแท้จริง รวมทั้งจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 ชุด คือคณะกรรมการบริหาร และคณะกรรมการนโยบาย ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ในการสรุปรายละเอียดการเดินหน้าโครงการ ตามข้อศึกษาต่าง ๆ เช่น ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ จำนวนพื้นที่ ผลประโยชน์ที่รัฐจะได้รับ เป็นต้น

“เราวาดแผนให้มีความเข้มงวดในการเข้าไปใช้บริการ มีการกำหนดคุณสมบัติผู้ที่จะเข้าไปใช้บริการ ผ่านการกำหนดค่าแรกเข้า เพื่อสกรีนคนที่ไม่พร้อม อีกประเด็นที่กำลังพูดคุยกันคือการกำหนดสัดส่วนเงินฝาก ซึ่งตรงนี้จะต้องมีการพูดคุยกันต่อในสภา เพราะเป็นข้อเสนอของกฤษฎีกา ก็ต้องมาดูตัวเลขที่เหมาะสมและสามารถบังคับใช้ได้จริงในทางปฏิบัติว่าจะสามารถช่วยสกรีนคนและข้อห่วงใยต่าง ๆ ได้จริงหรือไม่ และยังมีการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาเสริม เพื่อความปลอดภัย มีการกำกับดูแลด้วย AI ที่น่าจะช่วยป้องปรามปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ในระดับหนึ่ง ตรงนี้เป็นความพยายามของรัฐบาลในการดึงคนไทยที่เดินทางไปเล่นการพนันในประเทศเพื่อนบ้านให้กลับมาอยู่ในระบบกำกับดูแลของรัฐที่เหมาะสม ซึ่งรัฐก็จะได้ประโยชน์จากภาษี ประเทศจะได้ประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุน 1 แสนล้านบาท และภาคธุรกิจต่อเนื่องก็จะได้ประโยชน์ รัฐสามารถเอาเม็ดเงินไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เสริมด้านการศึกษ และพัฒนาประเทศต่อได้” นายจุลพันธ์ กล่าว

สำหรับข้อกังวลเกี่ยวกับธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น การค้ามนุษย์ การค้าประเวณี การฟอกเงิน ทุนสีเทา นั้น รมช.การคลัง ระบุว่า เป็นประเด็นที่รัฐบาลให้ความสำคัญและระมัดระวังอย่างมาก จึงมีความพยายามในการมีกลไกกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ รอบคอบ และรัดกุม ขณะเดียวกันก็เชื่อว่านักลงทุนจะไม่ทำเรื่องผิดกฎหมาย เพราะจะถูกถอนใบอนุญาตการทำธุรกิจไม่เพียงแค่ในไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในประเทศอื่น ๆ ที่มีการไปลงทุนด้วย จึงมองว่าอาจจะไม่คุ้มอย่างแน่นอน

นางสาวชิดตะวัน ชนะกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า มี 2 ประเด็นที่น่าสนใจสำหรับประเทศที่มีความพร้อม หรือไม่มีความพร้อมในการจัดตั้ง entertainment complex นั่นคือ ประเทศที่มีความพร้อมจะต้องมีการทุจริตคอร์รัปชั่นต่ำ ส่วนประเทศมีกลไกภาครัฐที่ไม่สามารถกำกับดูแลการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้ควบคุมการพนันได้ยาก และจะนำมาซึ่งปัญหาทางสังคม ทั้งการฟอกเงิน การติดการพนัน ปัญหาอาชญกรรมร้ายแรง การลักพาตัว การเรียกค่าไถ่ การข่มขืน ทั้งหมดคือผลกระทบต่อเนื่องไปยังเศรษฐกิจ และจากรายงานในต่างประเทศ พบว่า อาชญากรรมที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากกาสิโน ซึ่งจะลดการลงทุนจากต่างประเทศลงอย่างมาก สะท้อนจากตัวอย่างในประเทศเพื่อนบ้าน

ขณะเดียวกันในประเทศที่มีความพร้อม จะสะท้อนจากประชากรมีคุณภาพ ประชากรรายได้น้อยค่อนข้างต่ำ ดังนั้นเมื่อมาดูของประเทศไทย จากข้อมูลผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อยู่ที่ 16 ล้านคน คิดเป็น 20% ของประชากรทั้งหมด อีกทั้งต้องยอมรับว่าปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นของไทยอยู่ในขั้นวิกฤติ ปัจจุบันการคอร์รัปชั่นของไทยอยู่ลำดับที่ 107 ของโลก ดังนั้นการที่รัฐบาลบอกว่าห่วงใบประชาชน แต่เปิด entertainment complex แล้วไม่อยากให้คนติดการพนัน ก็ต้องยอมถามกลับไปว่า กลไกรัฐที่มีการทุจริตรุนแรงนั้น รัฐบาลจะสามารถบังคับใชกฎหมายเพื่อดูแลในส่วนนี้อย่างมีประสิทธิภาพได้หรือไม่

นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าต้องพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรเพื่อให้เกิดผลเสียน้อยที่สุด และโดยหลักการในการจัดตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ขึ้นมา ไม่ควรจะอิสระจากอำนาจของประชาชน โดยควรจะอยู่ภายใต้อำนาจของประชาชนที่จะสามารถควบคุมได้ รวมถึงต้องมีกลไกที่ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม เช่น ถอดถอน และหากทำผิดก็ต้องรับโทษด้วย

ด้าน รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน กล่าวว่า รัฐบาลเอาโมเดลต้นแบบจากสิงคโปร์มาไม่หมด โดยเฉพาะการจัดตั้งสภาแห่งชาติเพื่อแก้ปัญหาการพนัน ซึ่งสิงคโปร์ให้ความสำคัญกับสภาชุดนี้เป็นอย่างมาก เพราะมีความเข้าใจว่ากาสิโนมีความเสี่ยง โดยเฉพาะภาคสังคม ครองครัว อาชญากรรม ปัญหาการติดการพนัน และการให้การศึกษาสำหรับเยาวชน ซึ่งกฎหมายไทยอาจไม่ได้คำนึงถึงเรื่องพวกนี้มากนัก เช่น จากประชากรไทยกว่า 66 ล้านคน หากมีการจัดตั้ง entertainment complex จะมีคนติดการพนันเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ และจะทำอย่างไร ซึ่งมองว่าตรงนี้เป็นโจทย์สำคัญ

“นี่คือเรื่องที่กังวลใจและห่วงใยมาก เพราะไม่ว่าจะทำดีอย่างไร เป็นกาสิโนถูกกฎหมาย แต่อาชญากรจะชอบมาก เพราะการฟอกเงินในกาสิโนที่ถูกกฎหมาย เงินที่ถูกฟอกจะถูกกฎหมายแน่นอน นี่คือปัญหาที่จะตามมา โดยบทเรียนจากสิงคโปร์ ช่วง 10 ปีแรกที่ดำเนินการ มีการปรับผู้ให้บริการมากที่สุด คือ เรื่องให้คนที่ไม่สมควรเข้าได้เข้าไป ส่วน 3-4 ปีหลัง เป็นเรื่องการฟอกเงิน ซึ่งอาจจะเชื่อมโยงกับบ่อน หรือเครือข่ายอาชญากรได้” รศ.ดร.นวลน้อย กล่าว

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.