วิริยะประกันภัย จ่อขึ้นเบี้ยรถอีวี ยอมรับขาดทุน “เคลมสินไหม+ค่าใช้จ่าย” ทะลุ 100% โอดต้นทุน “ค่าซ่อม-ค่าแรง-ค่าอะไหล่” รถอีวีสูงกว่ารถสันดาป 50% แต่เบี้ยสูงกว่าแค่ 15% เร่งเจรจา ”ผู้ผลิต-ตัวแทนจำหน่าย“ ปรับลดค่าซ่อมค่าอะไหล่แลกขึ้นเบี้ย แก้ปัญหา win-win เล็งส่ง ”ประกันอีวี 2+ ซ่อมห้าง“ ส่งประกันสุขภาพ Copay-Deductible มั่นใจรักษากำไรสิ้นปีระดับ 3 พันล้านบาท
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม นายอมร ทองธิว กรรมการผู้จัดการ บริษัทวิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ยอมรับว่าพอร์ตการรับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (EV Car) ของบริษัทยังขาดทุนอยู่ในปี 2567 บริษัทมีเบี้ยประกันรถอีวี 1,500 ล้านบาท มีการรับประกันรถอีวีอยู่ทั้งหมด 66,000 คัน มาจากพันธมิตรค่ายรถอีวีกว่า 10 แบรนด์ แต่บริษัทมีอัตราส่วนรวมค่าสินไหมทดแทนและค่าใช้จ่ายดำเนินงานทั้งหมด (Combined Ratio) ทะลุ 100%
เนื่องจากต้นทุนการรับประกันรถอีวี จากทั้งค่าซ่อม ค่าแรง และค่าอะไหล่ สูงกว่าการรับประกันรถยนต์สันดาปประมาณ 50% ในขณะที่การกำหนดอัตราเบี้ยประกันรถอีวีของบริษัทสูงกว่ารถยนต์สันดาปแค่ 15% สะท้อนว่าอัตราเบี้ยประกันรถอีวีของบริษัทยังรองรับไม่เพียงพอ
ทำให้ในปี 2568 บริษัทมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นเบี้ยประกันรถอีวี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างคำนวณหาอัตราเบี้ยที่เหมาะสม อาจปรับขึ้นในระดับสองดิจิต ทั้งนี้จะพิจารณาเฉพาะรถบางยี่ห้อและบางรุ่นเท่านั้น อย่างไรก็ตามบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายรถอีวีว่าหากไม่ขึ้นเบี้ยประกัน เป็นไปได้หรือไม่ที่จะปรับลดค่าแรงและค่าอะไหล่ของรถอีวีลงมาให้สอดคล้องกับเบี้ยประกันมากขึ้น ซึ่งบริษัทกำลังเร่งพูดคุยเรื่องนี้อยู่ โดยมองปัญหานี้ต้อง win-win ทั้งคู่
ทั้งนี้ยืนยันว่าบริษัทจะไม่หยุดรับประกันรถอีวี แม้ว่าจะเป็นตลาดที่มีความท้าทายสูง โดยในช่วงไตรมาส 2/2568 บริษัทเตรียมเปิดตัวประกันรถอีวี 2+ ซ่อมห้าง เพื่อออกมาตอบโจทย์กับความต้องการของผู้เอาประกัน ตามตลาดรถอีวีที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับเป้าหมายเบี้ยประกันรถอีวีในปีนี้คงไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท
นายอมร กล่าวต่อว่า และปี 2568 ในส่วนเป้าหมายภาพรวมธุรกิจของบริษัท ตั้งเป้าจะรักษากำไรสุทธิที่ระดับ 3,000 ล้านบาท มีเบี้ยประกันภัยรับรวมแตะ 42,569 ล้านบาท เติบโตไม่น้อยกว่า 3.7% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) มาจากเบี้ยประกันภัยรถยนต์ (Motor) ที่ 37,591 ล้านบาท เติบโต 3.3% และเบี้ยประกันที่ไม่ใช่รถยนต์ (Non-motor) ที่ 4,978 ล้านบาท เติบโต 11%
โดยในไตรมาส 2/2568 บริษัทจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันรถยนต์ 2+, 3+ คุ้มครองภัยน้ำท่วมซ่อมอู่ทั่วไป โดยมีแผนปรับความคุ้มครองและค่าเบี้ยให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์มากยิ่งขึ้น เพราะปีที่แล้วจะเห็นภัยน้ำท่วมเริ่มเป็นภัยใกล้ตัวมากขึ้น ซึ่งทำให้ความไม่แน่นอนสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่และทุกจังหวัด จึงพยายามมุ่งเน้นทำตลาดในปีนี้เพิ่มเติม
แต่อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตลาดรถยนต์ในช่วง 2-3 เดือนนี้ ถือว่ายังไม่หวือหวา คล้าย ๆ กับปีที่ผ่านมา รถป้ายแดงยอดขายลดลงไป 20% ทั้งนี้ต้องติดตามว่าการจัดงานมอเตอร์โชว์ 2025 จะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน เพราะยังมีความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคอยู่
นางฐวิกาญจน์ เตชทวีทรัพย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีนี้แผนธุรกิจน็อนมอเตอร์ บริษัทตั้งเป้าพอร์ตเบี้ยประกันสุขภาพจะเติบโต 20% เมื่อเทียบจากปี 2567 โดยในไตรมาส 2/2568 บริษัทจะมีแผนออกผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพใหม่ ในรูปแบบให้ลูกค้ามีส่วนร่วมจ่าย (Copayment) และให้ลูกค้ามีความรับผิดชอบส่วนแรก (Deductible) เพื่อช่วยประหยัดค่าเบี้ยที่ลดลงได้สูงสุด 40-50%
และยังมีแผนจะออกประกันภัยโจรกรรมรถจักรยานยนต์และรถยนต์ จากเดิมที่คุ้มครองเฉพาะสภาพรถหาย ปีนี้จะเพิ่มความคุ้มครองเรื่องการชดเชยรายได้เข้าไป รวมทั้งการออกผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ ESG โดยมุ่งให้ความคุ้มครองเรื่อง Solar rooftop และ EV Charger
นายอมร กล่าวสรุปแผนกลยุทธ์ปี 2568 ภายใต้แนวคิด “ใช้ทุกวิให้คุ้มค่า : ด้วยบริการที่เป็นเลิศครอบคลุมครบวงจร” โดยมี 3 เป้าหมายหลักคือ 1. ยกระดับคุณภาพและความพร้อมในการให้บริการทุกจุดที่ลูกค้าได้สัมผัสแบรนด์ (Touchpoint) สอดประสานเป็น Omni-channel สะดวกทุกที่ทุกเวลาผ่านช่องทางบริการที่ครบวงจร
ประกอบด้วย 1.1.ขยายงานตัวแทนและนายหน้าประกันวินาศภัย ซึ่งถือเป็นช่องทางงานขายสำคัญของบริษัทฯ ให้ได้กว่า 200 ราย เพื่อให้สามารถรองรับการให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะในเมืองรอง เช่น อุทัยธานี บึงภาพ นครพนม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส รวมถึงยกระดับความรู้และศักยภาพของตัวแทนและนายหน้าประกันวินาศภัยผ่านการอบรมออนไลน์
1.2.พัฒนาจุดบริการทั้งสาขา ศูนย์บริการสินไหมทดแทน และ จุดบริการในห้างสรรพสินค้า (V-Station) ให้ครอบคลุมทุกบริการอย่างครบวงจร โดยมีเป้าหมายปรับปรุงและขยายพื้นที่บริการเพิ่มเติมให้เหมาะสม เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงการบริการได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้นทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ
1.3.ยกระดับงานขายและการให้บริการผ่าน Line OA ทั้งในส่วนของวิริยะประกันภัยและวิริยะประกันสุขภาพให้กลายเป็น One Stop Service ที่สามารถให้บริการด้านงานขายและงานบริการได้อย่างครบวงจร โดยเฉพาะการแจ้งเคลมอุบัติเหตุ เคลมนัดหมาย (VClaim on VCall) และแจ้งเหตุฉุกเฉินผ่านมือถือเพื่อให้ลูกค้าสามารถดำเนินการได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น
1.4.ยกระดับประสิทธิภาพการออกตรวจสอบอุบัติเหตุด้วยการวาง “จุดรอตรวจสอบอุบัติเหตุ หรือ จุดพักคอยของเจ้าหน้าที่ในการรอเพื่อออกตรวจสอบอุบัติเหตุอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ที่เกิดเหตุบ่อย ๆ หรือพื้นที่ที่มีอุปสรรค เช่น การจราจรหนาแน่น มีโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ใช้เวลานาน ฯลฯ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ไปถึงจุดเกิดเหตุภายในระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งการยกระดับบริการ ณ จุดเกิดเหตุให้มีความครบถ้วน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ปัจจุบันบริษัทมีจุดรอตรวจสอบอุบัติเหตุกระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 20 จุด และภายในปีนี้มีเป้าหมายจะขยายเป็น 30 จุด
2.ขยายเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศของบริการ(Ecosystem) ประกอบด้วย 2.1.เพิ่มจำนวนตัวแทนจำหน่ายรถอีวีให้ครอบคลุมทุกแบรนด์ทั่วประเทศ พร้อมพัฒนาศักยภาพศูนย์ซ่อมมาตรฐานของวิริยะประกันภัย เพื่อรองรับการให้บริการซ่อมรถอีว 2.2.การขยายเครือข่ายพันธมิตรศูนย์ซ่อมเฉพาะทาง เช่น ศูนย์ซ่อมรถหรู (Luxury Car) และศูนย์ซ่อมรถขนส่ง เพื่อตอบรับการเติบโตของตลาดประกันภัยรถยนต์เฉพาะทาง
2.3.ขยายเครือข่ายพันธมิตรด้านโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่องเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เอาประกันภัยสุขภาพ และ 2.4.เพิ่ม Exclusive Partner สำหรับ Privilege Program ซึ่งจะเน้นสิทธิพิเศษแบบ Exclusive Program ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในปัจจุบัน ครอบคลุมทั้งการช้อปปิ้ง การกิน-ดื่ม การดูแลสุขภาพ ความบันเทิง และการเดินทาง-ท่องเที่ยว โดยตั้งเป้าขยาย Exclusive Partner จาก 65 แบรนด์ไปสู่ 80 แบรนด์ภายในปีนี้
3.ยกระดับศักยภาพบุคลากรวิริยะประกันภัย ที่มีอยู่กว่า 6,900 คน ตั้งแต่ระดับบริหารไปจนถึงระดับปฏิบัติการ ประกอบด้ว 3.1.พัฒนาศักยภาพตาม Road Map ของแต่ละตำแหน่งงานและช่วงอายุงาน พร้อมตั้งเป้าหมายในการพัฒนาผู้บริหารตามแผน Individual Development Plan (IDP) เพื่อสรรหา และพัฒนาบุคลากรที่มีศักยภาพสูง มีความรู้ ทักษะ และ ความเชี่ยวชาญ สำหรับเตรียมความพร้อมให้กับผู้บริหารรุ่นใหม่ในอนาคต
3.2.พัฒนาความรู้และเสริมทักษะใหม่ ๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงไปของเทคโนโลยี เช่น เทคโนโลยี AI เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ 3.3. พัฒนาระบบ Online Training ให้พนักงานสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ด้วยตนเองได้ทุกที่ ทุกเวลาา ภายใต้แนวคิด Long Live Learning และ 3.4.เสริมความรู้เรื่องผลิตภัณฑ์มอเตอร์และน็อนมอเตอร์ ความรู้เกี่ยวกับรถอีวียให้กับพนักงานในทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งงานสินไหมทดแทนส่วนหน้าและส่วนหลัง รวมถึงฝ่ายรับประกันเพื่อให้สามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้สำหรับภาพรวมในปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 40,879 ล้านบาท เติบโต 2% เมื่อเทียบจากปี 2566 มาจากเบี้ยประกันภัยรถยนต์ จำนวน 36,380 ล้านบาท เติบโต 2.1% และเบี้ยประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ จำนวน 4,499 ล้านบาท เติบโต 1.2% โดยมีอัตราความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR ratio) อยู่ที่ระดับ 220% สูงกว่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนดไว้ค่อนข้างมาก
และมีขนาดสินทรัพย์รวมแข็งแกร่งอยู่ที่ 70,904 ล้านบาท เป็นพอร์ตสินทรัพย์ลงทุน 62,000 ล้านบาท โดยสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ที่ 4% เนื่องจากบริษัทมีนโยบายมุ่งเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง แยกเป็นเงินลงทุนในตลาดหุ้น 26,000 ล้านบาท และที่เหลือ 36,000 ล้านบาท ลงทุนในพันธบัตรและหุ้นกู้เรตติ้งระดับลงทุน (Investment Grade)
“ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมประกันภัยทั้งระบบเติบโตเพียง 0.5% มีเบี้ยรับรวม 2.86 แสนล้านบาท ภาคธุรกิจต้องเผชิญสถานการณ์ความท้าทายทั้งภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นสวนทางกำลังซื้อของผู้บริโภค ความเสี่ยงด้านภัยพิบัติ และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม จากผลการดำเนินงานของวิริยะ สะท้อนถึงบริษัทยังสามารถรักษาความเป็นผู้นำตลาดประกันวินาศภัย ด้วยมาร์เก็ตแชร์อันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 33 ด้วยสัดส่วน 14.3% และประกันภัยรถยนต์ซึ่งเป็นพอร์ตหลักของวิริยะ ยังคงรักษามาร์เก็ตแชร์อันดับ 1 ด้วยสัดส่วน 22.6%” นายอมร กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
