‘จากไฟป่าสู่ไฟเกษตร’ ต้นตอฝุ่น PM 2.5 กระตุ้นสังคม ร่วมหาแนวทางแก้ไขยั่งยืน
GH News March 19, 2025 11:00 PM

รู้หรือไม่ว่า ฝุ่น PM 2.5 เป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตคนไทยมานานกว่า 15 ปี อีกทั้งสถานการณ์ยังเลวร้ายลงทุกปี ซึ่งฝุ่นเหล่านี้ไม่ได้ทำให้แค่แสบจมูกหรือระคายเคืองตา ทว่ายังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคระบบทางเดินหายใจ หัวใจและหลอดเลือด รวมถึงมะเร็งปอด  โจทย์ข้างต้นเป็นที่มาของ ‘PM 2.5 Talk Forum : รู้ลึกก่อนใคร สถานการณ์ฝุ่นปี 2567 เพื่อเฝ้าระวังอนาคต’ เพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้อง พร้อมเจาะลึกถึงต้นตอปัญหา และแนวทางรับมือกับปัญหามลพิษทางอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เผยว่า สสส. ตระหนักถึงอันตรายต่อสุขภาพในทุกกลุ่มประชากร จึงยกระดับการดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพจากปัญหามลพิษทางสิ่งแวดล้อม เป็น 1 ใน 7ยุทธศาสตร์หลัก 10 ปี (2565 – 2574) ผลักดันกระบวนการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ผ่านกลไก 4 พลัง นโยบาย ปัญญา สังคม และสื่อสาร นอกจากนี้ ยังมีส่วนร่วมผลักดันร่าง พ.ร.บ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด มุ่งเป้าสร้างแนวทางการจัดการมลพิษทางอากาศแบบสุขภาพนำสังคม หรือสังคมอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคน จนนำไปสู่การบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาคประชาสังคม ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการในการแก้ปัญหาสาเหตุ PM 2.5 โดยมีหมุดหมายสำคัญ คือ ก้าวข้ามการจัดการแบบเดิมไปสู่การจัดการมลพิษทางอากาศแบบสุขภาพนำสังคม หรือ ‘สังคมอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ’ พร้อมยกระดับการแก้ปัญหาทั้งระยะสั้น – ระยะยาว เชื่อมประสานการดำเนินงานโยงใยกลไกการบริหารจัดการ เพื่อสร้างปฏิบัติการทางนโยบายระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับชาติ

ฝุ่น PM 2.5 เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ สสส. จึงร่วมดำเนินการให้เป็นเป้าหมายขององค์กร โดยข้อมูลปัจจุบันทำให้พัฒนาไปได้ไกล เพราะมีข้อมูลทั้งแหล่งกำเนิด หรือสาเหตุเกิดจากอะไร ดังนั้น การจัดการที่อาจจะโฟกัสแค่ปลายเหตุ ซึ่งไม่เพียงพอ ฉะนั้นวันนี้จึงอยากเชิญชวนรับรู้ถึงข้อมูลไม่ได้หวังให้รู้ทันเท่านั้น ทว่าต้องการให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหานี้ ทั้งการปรับพฤติกรรมส่วนตัว การส่งเสียงเพื่อขับเคลื่อนให้เป็นสังคมที่อากาศสะอาด” ดร.นพ.ไพโรจน์ เผยด้าน นายนครินทร์ ภระมรทัต รักษาการผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. เล่าว่า เวทีเสวนานี้เป็นส่วนหนึ่งของการต่อยอดจากงาน ThaiHealth Watch ซึ่งรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์แนวโน้มด้านสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน โดยพบว่าปัญหาฝุ่น PM 2.5 ยังคงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกระทบต่อทุกช่วงวัย

สสส. จึงนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางแก้ไขที่ตรงจุด พร้อมทำงานร่วมกับภาคประชาสังคม นำโดย Rocket Media Lab ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ใช้ข้อมูลในการขับเคลื่อนสังคม เพื่อสร้างเครือข่ายขับเคลื่อนการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมคาดว่าการแลกเปลี่ยนข้อมูลในเวทีนี้จะช่วยให้เกิดข้อค้นพบแนวปฏิบัติใหม่ๆ ที่สามารถนำไปใช้ในระดับพื้นที่ ตลอดจนสร้างแนวทางการแก้ไขที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม

ในอดีตปัญหาฝุ่น PM2.5 มักถูกเชื่อมโยงกับไฟป่าเป็นหลัก แต่จากข้อมูลเชิงลึกพบภาคการเกษตรมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้การแก้ไขปัญหาต้องเปลี่ยนจุดโฟกัสมาสู่ภาคการเกษตรมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่นเดียวกับกรุงเทพฯ ซึ่งได้รับผลกระทบจากลมพัดพาฝุ่นจากหลายภูมิภาค จำเป็นต้องมีความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั่วประเทศในการควบคุมฝุ่น PM2.5 ทั้งจากไฟป่าและภาคการเกษตร เพื่อให้ทุกพื้นที่สามารถจัดการกับปัญหาได้อย่างเป็นระบบ และไม่ส่งผลกระทบต่อกัน” นายนครินทร์ กล่าว ขณะที่ นายสันติชัย อาภรณ์ศรี บรรณาธิการบริหาร Rocket Media Lab กล่าวถึงช่วงฤดูกาลเผาไหม้ของประเทศไทย ปี 2566 – 2567 พบว่าพื้นที่เผาไหม้เพิ่มขึ้นเป็น 11 ล้านไร่ ในปี 2566 เป็น 19 ล้านไร่ ในปี 2567 โดย ภาคเกษตรกรรม เป็นแหล่งกำเนิดฝุ่นที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็นกว่า 10 ล้านไร่ จากการเผานาข้าว ข้าวโพด อ้อย และพืชเกษตรอื่นๆ รองลงมา คือ ภาคป่าไม้ ซึ่งพื้นที่ไฟป่าลดลง 3.2 ล้านไร่ จาก 7 ล้านไร่ อย่างไรก็ตาม แต่ละภาคของประเทศไทยมีการเผาไหม้ ที่แตกต่างกันไปตามลักษณะการใช้ที่ดินและประเภทพืชผลทางการเกษตร ภาคเหนือ มีพื้นที่เผาไหม้มากที่สุดที่ 6.27 ล้านไร่ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่เกษตรอื่นๆ และป่า รองลงมาคือข้าวและข้าวโพด ส่วน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการเผาไหม้รวม 5.69 ล้านไร่ โดยพืชหลักที่ถูกเผาคือข้าวและข้าวโพด ซึ่งรวมกันคิดเป็นกว่าร้อยละ 70 ของพื้นที่เผาไหม้ทั้งหมด

 “สาเหตุหลักของฝุ่นควัน PM 2.5 มาจากหลายปัจจัยแหล่งกำเนิดมลพิษสำคัญ ทั้งจากไฟป่าตามธรรมชาติและฝีมือมนุษย์ โดยส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในแทบทุกพื้นที่ของประเทศ ซึ่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด แต่หากพิจารณาผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด พบว่าภาคเหนือ (9 จังหวัด) มีอัตราผู้ป่วยสูงสุด คิดเป็นประมาณ 20,000 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคน สอดคล้องกับข้อมูลการเผาไหม้ในปี 2567 ที่ระบุว่าภาคเหนือยังเป็นพื้นที่ที่มีการเผาไหม้สูงสุดในประเทศ” นายสันติชัย ทิ้งท้าย สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในประเทศไทย ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการรับรู้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคประชาชนในการลดการเผา ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รวมถึงภาครัฐ – เอกชน ผลักดันนโยบายที่เข้มแข็งเพื่ออากาศสะอาด พร้อมขับเคลื่อนสังคมปลอดฝุ่น PM 2.5 อย่างแท้จริง

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.