ออริจิ้น สร้างสมดุลธุรกิจ รับมือการเปลี่ยนแปลง เปิด 11 โครงการ มูลค่า 2 หมื่นล้าน
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า บริษัทได้จัดโครงสร้างธุรกิจให้ชัดเจนขึ้นในลักษณะ Holding Company โดยจะเป็นการลงทุนถือหุ้นใน 5 กลุ่มธุรกิจหลักในบริษัทย่อย บริษัทร่วมค้า ทั้งบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ และนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายประเภทคอนโดมิเนียม ภายใต้ ออริจิ้น เวอร์ติเคิล 2.ในกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายประเภทบ้านจัดสรร ภายใต้บริทาเนีย หรือ BRI 3.กลุ่มธุรกิจบริการ ภายใต้พรีโม่ เซอร์วิส โซลูชั่น หรือ PRI 4.กลุ่มธุรกิจ Hospitality and Tourism & Service ภายใต้ออริจิ้น โฮเทล และ5.กลุ่มธุรกิจ Logistics and Warehouse ภายใต้ แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น รวมโครงการกว่า 198 โครงการ พร้อมเตรียมแผนการเติบโตในอนาคตเปิด 11 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดเป็นคอนโด 5 โครงการ มูลค่า 12,500 ล้านบาท และบ้าน 6 โครงการ มูลค่า 7,500 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 30,000 ล้านบาท รายได้ 14,000 ล้านบาท ยอดการโอน 22,000 ล้านบาท รวมถึงมีแบ็กล็อกกว่า 44,562 ล้านบาท สร้างการรับรู้รายได้ต่อเนื่อง 4 ปี
“ปี 2568 บริษัทจะเดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรภายใต้กลยุทธ์ Resilience Leads To Sustainable Growth : สร้างความยืดหยุ่นในการบริหารองค์กร พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลง สู่การเป็นผู้นำและการเติบโตบนโอกาสใหม่ เพื่อสร้างความสมดุลในระยะยาว และจากโครงการที่เปิดขายใหม่และอยู่ระหว่างดำเนินการ บวกกับการทำการตลาดเชิงรุกทั้งในประเทศและต่างประเทศ มั่นใจว่ายอดขายจะเป็นไปตามเป้า 30,000 ล้านบาท ตลาดในประเทศไฮไลท์ปีนี้ได้ดึง “ณเดชน์ คูกิมิยะ” ร่วมเป็นแอมบาสเดอร์อีกครั้งหลังร่วมงานกันมาเมื่อ 8 ปีก่อน เพื่อสร้าง Brand Awareness จะเห็นการ Collab ร่วมกันผ่านแคมเปญทางการตลาดตลอดทั้วปีนี้ ขณะที่ตลาดต่างประเทศนอกจากแต่งตั้ง Master agent โรดโชว์ไปยังตลาดประเทศใหม่ๆ ยังได้นักแสดงชื่อดังชาวจีน-ฮ่องกง เวินปี้เสีย เป็นพรีเซ็นเตอร์นำคอนโดแบรนด์ Park Origin Collection บุกตลาดเอเชีย” นายพีระพงศ์กล่าว
นายพีระพงศ์กล่าวว่า นอกจากนี้ยังเดินหน้าสร้างรายได้และกำไรระยะยาว จากธุรกิจใหม่ ที่มีการขยายการลงทุนไปก่อนหน้า สำหรับธุรกิจโรงแรม 9 แห่งที่เปิดแล้ว รวมทั้งโครงการที่อยู่ในบริษัทร่วมทุนและไม่ใช่บริษัทร่วมทุน ในปี 2567 มีรายได้โรงแรม กว่า 1,472 ล้านบาท และกำไรกว่า 514 ล้านบาท โดยปี 2568 จะเปิดโรงแรมใหม่ 3 แห่ง ซึ่ง 1 แห่งในกรุงเทพฯ ภายใต้รูปแบบ Dual Brand และ 2 แห่งเป็นการ Re-opening ซึ่งเป็นโรงแรมในแหล่งท่องเที่ยวหลักภูเก็ตและเชียงใหม่ จะส่งผลให้พอร์ตโฟลิโอของบริษัทมีการขยายตัวมากขึ้น ทั้งจำนวนห้องพักและโอกาสเติบโตของรายได้
อีก 1 เครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนคือ บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น ที่ประกอบธุรกิจด้านคลังสินค้า ปัจจุบันมีอัตราการเช่าสูงถึง 97.6% จากคลังสินค้าทั้ง 9 แห่ง ได้แก่ ทำเลรังสิต, บางนา กม.22, บางนา กม.19, บางนา กม.23, แหลมฉบัง, พานทอง และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมพื้นที่กว่า 400,000 ตารางเมตร ตั้งเป้าขยายเพิ่มเป็น 1 ล้านตารางเมตร ในอีก 5 ปี ข้างหน้า