การเมือง ‘คลั่งเชื้อชาติ’ เปลี่ยนสยามเป็นไทย
สุจิตต์ วงษ์เทศ March 20, 2025 02:01 PM

การเมือง ‘คลั่งเชื้อชาติ’
เปลี่ยนสยามเป็นไทย

ประเทศสยามถูกเปลี่ยนเป็นประเทศไทย พ.ศ.2482 เท่ากับ “ชื่อ” ประเทศไทยเพิ่งมี 86 ปีที่แล้ว

ประวัติศาสตร์สยาม ก็ถูกเปลี่ยนเป็น ประวัติศาสตร์ไทย จากนั้น บังเกิด “ประวัติศาสตร์บาดหมาง” สร้างบาดแผล ทั้งภายในและภายนอก ด้วยการปะทะขัดแย้งรุนแรงกับประชาชนภายในประเทศ และประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ

สยาม หมายถึงดินแดนมีพื้นที่ดินดำน้ำชุ่มอุดมสมบูรณ์ คนในดินแดนสยามเป็น ชาวสยาม ลูกผสมหลายชาติพันธุ์ “ร้อยพ่อพันแม่” ที่พูดภาษาไท-ไต เป็นภาษากลางสื่อสารต่างชาติพันธุ์

ไทย หมายถึงคนไทย หรือชนชาติไทย เชื้อชาติไทย สายเลือดบริสุทธิ์

“เชื้อชาติ” เพิ่งสร้างในยุโรป เรือน พ.ศ.2300 (คริสต์ศตวรรษ 19) แผ่ถึงไทยสมัย ร.4, ร.5 เรือน พ.ศ.2400 (คริสต์ศตวรรษ 20) ไทยเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ (เพิ่งมี) ถูกกำหนดให้เป็นดินแดนของ “คนเชื้อชาติไทย”

1.เปลี่ยนชื่อประเทศ

เดิมชื่อประเทศสยาม เปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทย

ประเทศสยาม มีความเป็นมามากกว่า 1,000 ปีมาแล้ว หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง (93 ปีที่แล้ว) พ.ศ.2475 ยังชื่อประเทศสยาม และมี เพลงชาติสยาม สืบเนื่องถึง พ.ศ.2482

ประเทศไทย เริ่ม 86 ปีที่แล้ว พ.ศ.2482 เพลงชาติสยามถูกเปลี่ยนเป็นเพลงชาติไทย

ความเคลื่อนไหวเปลี่ยนชื่อประเทศ จากหนังสือ ไทยหรือสยาม จากบันทึกของนายปรีดี พนมยงค์ และจากรายงานการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2504 รวบรวมโดย สุพจน์ ด่านตระกูล พิมพ์ครั้งแรก (40 ปีที่แล้ว) พ.ศ.2528 สรุปดังนี้

24 มิถุนายน 2482 วันรำลึกครบรอบปีปฏิวัติ 2475 ของคณะราษฎรที่ได้สถาปนาระบอบรัฐธรรมนูญ-ประชาธิปไตย, มีพิธีวางศิลาฤกษ์เพื่อสร้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยกลางถนนราชดำเนินกลาง, รัฐบาลประกาศเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม” เป็นประเทศ “ไทย” และประกาศให้วันที่ 24 มิถุนายนของทุกปีเป็น “วันชาติ” ของประเทศไทย (คำอธิบายของ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ)

พ.ศ.2481 (87 ปีที่แล้ว) จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี [ขณะนั้นเป็นนายพันเอก หลวงพิบูลสงคราม] หลวงวิจิตรวาทการ อธิบดีกรมศิลปากร และรัฐมนตรีลอย (ไม่ว่าการกระทรวง)

พ.ศ.2482 (ต้นปี) (86 ปีที่แล้ว) หลวงวิจิตรวาทการ ไปฮานอย (เวียดนาม) ขณะนั้นเป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศส ชมกิจการโบราณคดีของ “สำนักตะวันออกไกลฝรั่งเศส” ชื่อทางการ คือ “สำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบุรพทิศ” [École française d’Extrême-Orient (EFEO)] สถาปนาเมื่อ พ.ศ.2411 [ปีแรกแผ่นดิน ร.5] (ที่เมืองฮานอย เวียดนาม) ขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของ อินโดจีนฝรั่งเศส (French Indochina)

ครั้งนั้น สำนักฝรั่งเศสฯ ทำแผนที่แสดงถิ่นฐานของคนเชื้อชาติไทยซึ่งมีมากมายหลายแห่ง หลวงวิจิตรรับแผนที่ฯ โดยมีรับแนวคิด “เชื้อชาติ” นานแล้วจากยุโรป

ปลุกระดม “คนเชื้อชาติไทย” เหมือนฮิตเลอร์กำลังทำในเยอรมัน (ขณะนั้น)

หลวงวิจิตรวาทการทำดังนี้ (1.) แผนที่ถิ่นฐานของ “คนเชื้อชาติไทย” ในอินโดจีน, จีน, พม่า, อัสสัม (อินเดีย) (2.) ปลุกระดมทางวิทยุ รวม “คนเชื้อชาติไทย” (3.) โฆษณาทางวิทยุ เรื่อง “มหาอาณาจักรไทย”

บันทึกของนายปรีดี พนมยงค์ ตอนหนึ่งว่า

“เมื่อหลวงวิจิตรฯ กลับจากฮานอย ได้นำแผนที่ฉบับหนึ่งซึ่งสำนักฝรั่งเศสนั้นได้จัดทำขึ้น แสดงว่ามีคนเชื้อชาติไทยอยู่มากมายหลายแห่งในแหลมอินโดจีน ในประเทศจีนใต้ ในพม่า และในมณฑลอัสสัมของอินเดีย

ครั้นแล้วผู้ฟังวิทยุกระจายเสียงได้ยินและหลายคนยังคงจำกันได้ว่าสถานีวิทยุกรมโฆษณาการ (ต่อมาปัจจุบันคือกรมประชาสัมพันธ์) ได้กระจายเสียงเพลงที่หลวงวิจิตรฯ รำพันถึงชนเชื้อชาติไทยที่มีอยู่ในดินแดนต่างๆ 

และมีการโฆษณาเรื่อง ‘มหาอาณาจักรไทย’ ที่จะรวมชนเชื้อชาติไทยในประเทศต่างๆ เข้าเป็นมหาอาณาจักรเดียวกัน 

ทำนองที่ฮิตเลอร์กำลังทำอยู่ในยุโรปในการรวมชนเชื้อชาติเยอรมันในประเทศต่างๆ ให้เข้าอยู่ในมหาอาณาจักรเยอรมัน”

จอมพล ป. พิบูลสงคราม เสนอเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นไทย นายปรีดี พนมยงค์ เล่าว่า

“ในการประชุมวันหนึ่ง นายกรัฐมนตรีได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาปัญหาด่วนนอกระเบียบวาระ โดยให้หลวงวิจิตรวาทการเป็นผู้แถลงให้เปลี่ยนชื่อ ‘ประเทศสยาม’ เป็น ‘ประเทศไทย’ 

โดยนำสำเนาแผนที่ฉบับที่สำนักตะวันออกไกลฝรั่งเศสทำไว้ ว่าด้วยแหล่งของชนเชื้อชาติไทยต่างๆ มาแสดงในที่ประชุมด้วย โดยอ้างว่า ‘สยาม’ มาจากภาษาสันสกฤต ‘ศยามะ’ แปลว่า ‘ดำ’ จึงไม่ใช่ชื่อประเทศของคนเชื้อชาติไทย ซึ่งเป็นคนผิวเหลืองไม่ใช่ผิวดำ และอ้างว่าคำว่า ‘สยาม’ แผลงมาจากจีน ‘เซี่ยมล้อ’” 

“ข้าพเจ้าได้คัดค้านว่าโดยที่ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่ได้ค้นคว้ากฎหมายเก่าของไทย โดยอาศัยหลักฐานเอกสารที่จารึกไว้โดยพระมหากษัตริย์แต่ปางก่อน รวมทั้ง ‘กฎหมายตราสามดวง’ ซึ่งรัชกาลที่ 1 (พระพุทธยอดฟ้าฯ) ได้โปรดเกล้าฯ ให้สังคายนา (ตามที่ข้าพเจ้ากล่าวในข้อ 2) และมิใช่คำว่า ‘สยาม’ แผลงมาจากคำจีนแต้จิ๋ว ‘เซี่ยมล้อ’ (ตามที่ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วในข้อ 1)

แต่จุดประสงค์เบื้องหลังของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีส่วนหนึ่ง ต้องการเปลี่ยนชื่อประเทศว่าประเทศไทย เพื่อรวมชนชาติไทยในดินแดนต่างๆ เข้าอยู่ในมหาอาณาจักรไทย

ดังนั้นรัฐมนตรีส่วนมากจึงตกลงตามร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเปลี่ยนชื่อประเทศสยามเป็น ‘ประเทศไทย’ ข้าพเจ้าเป็นฝ่ายข้างน้อยในคณะรัฐมนตรี

ต่อมาสภาผู้แทนราษฎรก็ได้ลงมติเห็นชอบในการเปลี่ยนชื่อประเทศ (ซึ่งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ลงนามให้ตราเป็นรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2482)”

2.เปลี่ยนประวัติศาสตร์

เดิมคือประวัติศาสตร์สยาม แต่เปลี่ยนเป็น “ประวัติศาสตร์ไทย”(ตามชื่อประเทศไทย)

โดยสรุป เรื่องราวความเป็นมาของชาวสยาม ซึ่งเป็นลูกผสมของคนหลายชาติพันธุ์ถูกเปลี่ยนเป็นเรื่องราวความเป็นมาของคนชาติพันธุ์เดียว คือ ชาวไทย หรือคนไทย  “เชื้อชาติไทย สายเลือดบริสุทธิ์” ด้วยการกีดกันคนชาติพันธุ์อื่น (ซึ่งมีมาก) ออกจากพื้นที่ทางประวัติศาสตร์

ประวัติศาสตร์สยาม หมายถึง (1.) เรื่องราวของดินแดนและผู้คนที่ประกอบเป็นประเทศสยาม (2.) ความเป็นมาของชาวสยามที่ประกอบด้วยคนหลายชาติพันธุ์ “ร้อยพ่อพันแม่” นับไม่ถ้วน ซึ่งพูดภาษาไท-ไต-ไทย เป็นภาษากลาง (3.) บางกลุ่มเรียกตนเองว่าไทย แต่จำนวนมากในอยุธยา, ธนบุรี, รัตนโกสินทร์ เรียกตนเองตามชื่อชาติพันธุ์ของตน เช่น มอญ, เขมร, มลายู, จีน เป็นต้น พบหลักฐานในหนังสือนางนพมาศ (ร.3)

แนวคิดเก่าสุดเรื่องประวัติศาสตร์สยาม พบในพระราชดำรัส ร.5 เปิดโบราณคดีสโมสรที่อยุธยา พ.ศ.2450 (118 ปีมาแล้ว)

ประวัติศาสตร์ไทย หมายถึงเรื่องราวความเป็นมาของคนเชื้อชาติไทย สายเลือดบริสุทธิ์ (ชนชาติไทย) พวกเดียว โดยไม่มีคนกลุ่มอื่น ดังนี้ (1.) ถิ่นกำเนิดของคนไทย (ชนชาติไทย) เชื้อชาติไทย สายเลือดบริสุทธิ์ อยู่เทือกเขาอัลไต ซึ่งอยู่เหนือสุดของจีน (ต่อมองโกเลีย) (2.) ถูกจีนมาจากถิ่นอื่น แย่งดินแดน ทำให้ไทยต้องอพยพลงทางใต้ แล้วตั้งอาณาจักรน่านเจ้า (3.) จีน (กุบไลข่าน) โจมตีน่านเจ้า ทำให้คนไทยต้อง “อพยพยกโขยงถอนรากถอนโคน” ลงไปตั้งถิ่นฐานในดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน  (4.) ดินแดนประเทศไทยปัจจุบันเป็นของมอญและขอม คนไทยเมื่ออพยพมาครั้งแรกต้องยอมเป็น “ขี้ข้า” เขมรที่ส่งขอมมาปกครอง (5.) ต่อมาไทย “ปลดแอก” จากขอม ประกาศอิสรภาพแล้วสร้าง กรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทย

ประวัติศาสตร์ไทย ได้กรอบโครงหลักจาก แสดงบรรยายพงศาวดารสยาม ของ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงบรรยายที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ.2467 (101 ปีที่แล้ว)

3.คลั่งเชื้อชาติไทย

อาการคลั่งเชื้อชาติไทย ดังนี้ (1.) ความเป็นไทยไม่เหมือนใครในโลก (2.) บาดหมางเพื่อนบ้านโดยรอบ เพราะยกตนข่มท่าน (3.) กีดกันและด้อยค่าเหยียดหยามชาติพันธุ์อื่น ได้แก่ กะเหรี่ยง, มลายู ฯลฯ

โดยเฉพาะมลายูปัตตานี ถูกใช้ความรุนแรงไม่จบสิ้นจนทุกวันนี้ มีเหตุสำคัญอย่างหนึ่งจากประวัติศาสตร์ไทยกระแสหลัก ที่เป็นประวัติศาสตร์บาดหมาง สร้างบาดแผลให้ชาติพันธุ์อื่น

ความแตกแยก ไทย-ไม่ไทย มีการทักท้วงถกเถียงเรื่องชื่อประเทศว่า “สยาม” หรือ “ไทย” ในรายงานการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ) ครั้งที่ 5 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2504 

พลตรี แสวง เสนาณรงค์ (ยศขณะนั้น) อภิปราย ผลเสียของการเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นไทย ดังต่อไปนี้

“ครั้นตั้งแต่เปลี่ยนชื่อมาเมื่อ 2482 จากสยามมาเป็นไทย เราจะเห็นว่าความรู้สึกแตกแยกกันมีขึ้น เพราะเราได้นำเอาลัทธิเชื้อชาตินิยมเรซิสม์ขึ้นมา แทนที่จะใช้สัญชาตินิยมที่ถูกต้อง

ซึ่งความจริงนโยบายนี้บรรพบุรุษโบราณของเราได้ใช้มาดำเนินมาสุขุมคัมภีรภาพอย่างที่สุดแล้วในสมัยโบราณ ตั้งแต่สมัยที่เราใช้สยาม ทำให้คนที่มีเชื้อสายเป็นต่างด้าวหรือมีเชื้อสายมาจากเผ่าพันธุ์อื่น กลายมาเป็นคนสยามอย่างสมบูรณ์—-

แต่ตั้งแต่เราเปลี่ยนชื่อมานี้เมื่อปี 2482 ความรู้สึกในการแตกแยกระหว่างเชื้อชาติได้มีขึ้นๆ อย่างรุนแรง มีการเริ่มแบ่งแยกกีดกัน ตั้งข้อรังเกียจ

มีความรู้สึกเกี่ยวกับว่าไทยแท้ไทยไม่แท้เกิดขึ้นตั้งแต่บัดนั้น

หรือไม่ก็พยายามบีบบังคับนโยบาย บางครั้งก็พยายามบีบบังคับให้เป็นไทยแท้ โดยเอาคำไทยไปผนวกหน้าไว้ เรียกว่าไทยอิสลามบ้าง ไทยอีสานบ้าง”

อาการคลั่งชาติ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ บอกไว้ในเอกสารเรื่อง จากสยามเป็นไทยฯ (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2550 หน้า 25-31) สรุปดังนี้

ปลุกระดมว่าเป็น “มหาอาณาจักรไทย” (Pan-Thaiism ซึ่งอยู่ในช่วงเดียวกันกับ Pan-Germanism อันเป็นปรากฏการณ์ในเยอรมนีและยุโรป ซึ่งได้กลายเป็นสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2), ปลุกระดมให้นักเรียนนิสิตนักศึกษาประชาชนชั้นกลางลุกขึ้นมาเดินขบวนสนับสนุนรัฐบาล, กองทัพไทยบุกยึดครองดินแดนและผู้คนใต้อาณานิคมฝรั่ง ดังนี้

โปสเตอร์รณรงค์เพื่อไทยจะได้เป็นประเทศอารยะและเป็นมหาอำนาจในสมัยรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นยุคที่มีการปรับปรุงตัวอักษรไทย เช่นตัวอักษร ณ ให้ใช้ น แทน (ภาพจากอนุสรณ์สถานครบรอบ 100 ปี ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม. 14 กรกฎาคม 2540 คำอธิบายของ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ)

-ยึดดินแดนจากอินโดจีนของฝรั่งเศส (กัมพูชาและลาว) เมื่อปี พ.ศ.2483 หลังการเปลี่ยนนามประเทศเพียง 1 ปี (ยึดได้มาด้วยการสู้รบกับฝรั่งเศสและการไกล่เกลี่ยเข้าข้างของญี่ปุ่น) 

รวมทั้งยึดดินแดนจากอาณานิคมของอังกฤษ โดยกองทัพญี่ปุ่นช่วยหนุนหลัง ปี 2485 รวมทั้งหมด ดังนี้

-ยึดเมืองเสียมราฐ แล้วเปลี่ยนนามเป็น “จังหวัดพิบูลสงคราม”

-ยึดพระตะบองและศรีโสภณ (ให้นายควง อภัยวงศ์ รับมอบคืน ใช้ชื่อเดิม)

-ยึดนครจัมปาศักดิ์ (จัมปาสักในลาว ใช้ชื่อเดิม แต่สะกดให้เป็นไทย)

-ยึดไซยะบุรี (แล้วเปลี่ยนนามเป็นจังหวัดลานช้าง-ไม่มีไม้โท)

-ยึดเมืองเชียงตุงและเมืองพาน (ในพม่า) แล้วเปลี่ยนนามเป็น “สหรัฐไทยเดิม” 

-ยึดกลันตัน เคดะห์ ปะลิส (ในมลายู) แล้วเรียกเสียใหม่ให้เป็นไทยว่า “สี่รัฐมาลัย”

ดินแดนที่รัฐบาลไทยได้เข้ายึดครองนั้น ยังได้มีการตอบแทนผู้ร่วมงานของนายกรัฐมนตรี (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ด้วยการนำบรรดาศักดิ์ของคณะทหารและรัฐมนตรีร่วมไปตั้งชื่อเป็น “อำเภอ” ต่างๆ ที่ได้ยึดครองมา เช่น

ในกัมพูชา จังหวัดพิบูลสงคราม (ที่เปลี่ยนมาจาก “เสียมราบ” หรือ “เสียมราฐ” นั้น ให้มี “อำเภอไพรีระย่อเดช” ให้มี “อำเภอเกรียงสักดิ์พิชิต” เพื่อเป็นเกียรติต่อนายทหารผู้ร่วมงานกับจอมพล ป. พิบูลสงคราม กับให้มี “อำเภอสินธุสงครามชัย” เพื่อเป็นเกียรติต่อพลเรือตรี หลวงสินธุสงครามชัย (สินธุ กมลนาวิน) ผู้บัญชาการทหารเรือ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมการ

ในลาว จังหวัดลานช้าง ตรงข้ามกับหลวงพระบาง ให้มี “อำเภอหาญสงคราม” เพื่อเป็นเกียรติต่อหลวงหาญสงคราม และให้มี “อำเภออดุลเดชจรัด” เพื่อเป็นเกียรติต่อ “นายพันตำรวจเอก หลวงอดุลเดชจรัส (มิ่ง พึ่งพระคุณ)” อธิบดีกรมตำรวจ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ฯลฯ

น่าสังเกตว่าไม่มีจากทางฝ่ายข้าราชการพลเรือน หรือกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) หรือหลวงวิจิตรวาทการ (ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนนามประเทศ และเป็นผู้ประพันธ์วรรณกรรม “ปลุกใจ” ทั้งหลายของ “มหาอาณาจักรไทย” ในสมัยนั้น)

ดินแดนและผู้คนเหล่านี้ รัฐบาลไทยได้ส่งข้าราชการเข้าไปปกครองอยู่ระหว่าง 3-5 ปี แต่ต้องส่งคืนไปภายหลังที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ.2488 

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.