กมธ. ย้ำชัด แก้ ม.32 พรบ.ควบคุมแอลกอฮอล์ ยังห้ามโฆษณา-โชว์แบรนด์ อินฟลูฯ รับงานไม่ได้
ข่าวสด March 20, 2025 04:46 PM

กมธ. ย้ำชัด แก้ ม.32 พรบ.ควบคุมแอลกอฮอล์ ยังห้ามโฆษณา-โชว์แบรนด์เครื่องดื่ม อินฟลูฯ รับงานไม่ได้ แจง รอผ่านวุฒิสภา รอประกาศในราชกิจจานุเบกษา

20 มี.ค. 68 – จากกรณีมติที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในการปรับแก้มาตรการ 32 ในพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ที่ระบุห้ามผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แสดงชื่อ หรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อันเป็นอวดอ้างสรรพคุณ หรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม ซึ่งที่ประชุมสภาฯ มีมติไม่เห็นด้วย 371 เสียง เห็นด้วย 1 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง ไม่ลงคะแนน 3 เสียง ทำให้เป็นการปลดล็อกและสามารถประชาสัมพันธ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้

ล่าสุด นายธีระ วัชรปราณี รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่ห้า ใน กมธ.วิสามัญร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ เปิดเผยว่า การพิจารณาร่างกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ แม้จะผ่านการพิจารณาของสภาแล้ว แต่ยังต้องผ่านวุฒิสภา และรอประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ฉะนั้น ขณะนี้ยังไม่มีผลบังคับใช้ ยังคงต้องยึดตามกฎหมายเดิม แต่ในเบื้องต้นรายละเอียดของกฎหมายฉบับใหม่นี้ จะต้องมีการออกประกาศเพิ่มเติมอีกหลายฉบับ ซึ่งเป็นอำนาจของคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน

นายธีระ กล่าวว่า อันดับแรกต้องเข้าใจถึงคำว่า “โฆษณา” จะต้องมีการออกคำนิยามโดยบอร์ดควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่โดยหลักการมีอยู่ 5 หลักเกณฑ์ ได้แก่ 1. การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ เกี่ยวกับคุณภาพ ปริมาณ มาตรฐาน ส่วนประกอบ แหล่งกำเนิด และต้องไม่มีการอวดอ้างสรรพคุณชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่ม

ดังนั้นถ้าเป็นการซื้อโฆษณาเพื่อโชว์แบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตามกฎหมายแล้วยังทำไม่ได้ แต่ถ้าเป็นการบอกว่า แอลกอฮอล์ชนิดนี้มีส่วนประกอบจากอะไร ผลิตมาจากที่ใด แบบนี้สามารถทำได้

2. เป้าหมายการสื่อสารจะต้องไม่ไปถึงเด็กและเยาวชน อายุต่ำกว่า 20 ปี 3. ช่องทางใช้สื่อสารต้องไม่แพร่หลาย ต้องมีการจำกัดช่องทางในการโฆษณา ดังนั้นการโฆษณาผ่านโซเชียลก็จะไม่สามารถทำได้

4. ไม่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง และ 5. ต้องมีการขึ้นข้อความคำเตือน ทั้งนี้ การออกประกาศเพิ่มเติมนั้น ไม่ควรออกเกินหลักการดังกล่าว

นายธีระ กล่าวว่า สำหรับการปรับแก้มาตรา 32 ในร่างพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ มีออกกฎหมายเพิ่มเติมเป็น 5 มาตราย่อย ตั้งแต่มาตรา 32/1 ระบุว่า ห้ามผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยกเว้นเป็นการให้ข้อมูลข่าวสาร ความรู้หรือประชาสัมพันธ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ซึ่งคำว่า “ผู้ใด” ที่มีการยกเว้นนั้น จะเป็นใครบ้าง จะต้องมีการออกประกาศเพิ่มเติมโดยคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่มี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานฯ แต่โดยหลักการแล้ว มีการเสนอกฎหมายให้ ยกเว้นผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่เมื่อมีการให้ออกประกาศเพิ่มเติมภายหลัง ก็จะเป็นช่องว่างทางกฎหมาย

เช่น อาจจะเพิ่มเติมอนุญาตให้กับ นักการเมือง รัฐบาล ที่อยากจะพูดถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตามนโยบายส่งเสริมสุราชุมชนได้ อย่างที่ผ่านมา มีข่าวนักการเมืองพูดประชาสัมพันธ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่เป็นสุราชุมชน หลังจากนี้ ถ้ามีการแก้ไขกฎหมายก็อาจจะทำได้ โดยไม่ผิด แต่ต้องไม่ใช่การโฆษณาชักจูงให้คนอยากดื่มแอลกอฮอล์ หรือการอวดอ้างสรรพคุณ

นายธีระ กล่าวว่า มาตรา 32/2 มาตรานี้มีความสำคัญเนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับผู้ที่มีชื่อเสียง หรืออินฟลูเอนเซอร์ (Influencers) ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใช้ช่องทางนี้ในการโฆษณา

ดังนั้นในมาตรานี้ ได้กำหนดไว้ใน 3 ส่วน คือ ห้ามมิให้ผู้ใดใช้ชื่อเสียง เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน, สื่อสารข้อมูลต่อสาธารณชนโดยแสดงชื่อหรือเครื่องหมายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ มุ่งหมายชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มแอลกอฮอล์ ถือเป็น 3 องค์ประกอบสำคัญ

ฉะนั้น หากมีการรับผลประโยชน์แลกกับการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แบบนี้ไม่สามารถทำได้แน่นอน นอกจากนั้นแล้ว ยังจะต้องมีการออกประกาศเพิ่มเติมในรายละเอียดอีก เช่น คำนิยามของคำว่า ผู้มีชื่อเสียง

“แต่ในมาตรานี้มีข้อยกเว้นว่า หากผู้นั้นให้ข้อมูลเชิงวิชาการ และมีการเผยแพร่ในวงจำกัด ไม่ใช่แบบสาธารณะ ซึ่งเป็นการผ่อนคลายกฎหมายให้กับ อินฟลูเอนเซอร์สายวิชาการ สายกฎหมาย ให้พูดถึงสินค้าบางอย่าง แต่ก็ไม่ใช่การเปิดแบบสาธารณะ” นายธีระ กล่าว

นายธีระ กล่าวต่อว่า มาตรา 32/3 เป็นการควบคุมการใช้ตราเสมือน เป็นการห้ามเด็ดขาด คือห้ามผู้ใดโฆษณาผลิตภัณฑ์หรือสิ่งอื่นใดใช้ชื่อ เครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงการนำมาตัดต่อเติม ดัดแปลง ที่ทำให้เข้าใจว่าหมายถึงการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ต่อมามาตรา 32/4 การให้ความสนับสนุนของธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีการกำหนดว่า ยังไม่อนุญาตให้มีการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคม สาธารณะประโยชน์ในลักษณะที่ส่งเสริมการดื่มแอลกอฮอล์ ดังนั้น หากจะมีการส่งเสริมกิจกรรมใด ก็จะต้องไม่ไปส่งเสริมให้คนอยากดื่มแอลกอฮอล์ และต่อเนื่องกัน จะเป็นมาตรา 32/5 ระบุว่า การสนับสนุนนั้น จะต้องไม่มีการเผยแพร่หรือแฝงธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

“ดังนั้นการแก้กฎหมายมาตรา 32 นี้ จะเป็นการผ่อนคลายในแง่การประชาสัมพันธ์เชิงการให้ข้อมูล และเพื่อแบ่งระหว่างบุคคลทั่วไป กับอินฟลูเอนเซอร์ให้ชัดเจนขึ้น ซึ่งหากดูจากมาตรา 32/2 ก็ต้องมาดูว่า ผู้ที่เผยแพร่ภาพเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น เป็นผู้ที่มีชื่อเสียง หรือมีการรับผลประโยชน์ใดหรือไม่ รวมถึงจงใจให้ผู้อื่นดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่ อย่างเช่น ประชาชนทั่วไปที่ดื่มแอลกอฮอล์แล้วอยากลงภาพในโซเชียล ที่ติดภาพเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็สามารถทำได้

แต่เรื่องนี้ก็เป็นช่องว่างทางกฎหมาย ที่จะต้องมีการสืบสวนพฤติการณ์ เพราะหากธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใช้ช่องทางนี้ในการโฆษณา ก็ยังถือเป็นความผิด เช่น มีแคมเปญให้บุคคลทั่วไปแชร์ภาพแลกกับของรางวัล ถ้ามีหลักฐานก็ต้องดำเนินการเอาผิด ซึ่งอาจจะไม่ใช่หลักฐานโดยตรงก็ได้อาจจะเป็นองค์ประกอบอื่น เช่น ช่วงเวลาเดียวกันมีบุคคลที่ทำในลักษณะเดียวกันจำนวนมาก หรือบุคคลนั้นลงภาพเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ก็สามารถเอามาเป็นประเด็นทางกฎหมายได้” นายธีระ กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีที่มีการแชร์วิธีการผสมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้ได้รสชาติดีขึ้น มีความผิดหรือไม่ นายธีระ กล่าวว่า หากดูจากมาตรา 32/2 ก็จะเข้าข่ายการแสวงหาประโยชน์ส่วนตน เพราะการที่มีคนเข้ามาดูเยอะ แม้ว่าเค้าจะไม่ได้รับผลประโยชน์จากธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยตรง แต่เขาก็ได้รายได้จากแพลตฟอร์มที่มีการเผยแพร่ข้อมูล รวมถึงยังเข้าข่ายการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสาธารณะด้วย ซึ่งไม่สามารถทำได้ พร้อมทั้งยังมีการชักจูงให้คนอยากดื่มแอลกอฮอล์ด้วย

เมื่อถามย้ำว่า หากกฎหมายใหม่มีผลบังคับใช้แล้ว บุคคลทั่วไปที่ถ่ายภาพเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลงโซเชียลตัวเอง แต่เปิดเป็นสาธารณะ จะมีความผิดหรือไม่ เพราะที่ผ่านมา มีการดำเนินคดีในส่วนนี้จำนวนมาก นายธีระ กล่าวว่า หากเป็นบุคคลธรรมดาไม่ได้รับประโยชน์ส่วนตนอะไร ไม่ได้จูงใจให้คนดื่ม ไม่ได้แสดงชื่อเครื่องหมาย หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบตั้งใจ ก็ไม่เข้าข่ายการโฆษณา แต่ในลักษณะทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ ซึ่งจะมีการดูองค์ประกอบหลายอย่าง พนักงานเจ้าหน้าที่จะเป็นผู้รวบรวมข้อมูล และวินิจฉัยว่าเข้าข่ายโฆษณาหรือไม่

“การลงรูปนานๆ ที หรือไม่ได้แสดงความตั้งใจว่าโฆษณา ก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้ามีการลงรูปทุกวัน และเข้าองค์ประกอบอื่น ก็มีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งกฎหมายฉบับเก่าไม่ได้เขียนชัดเท่ากฎหมายฉบับใหม่ เป็นเพียงการระบุว่า มีลักษณะจูงใจให้ดื่มทั้งทางตรงทางอ้อม ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ก็เข้าข่ายการโฆษณาแล้ว แต่กฎหมายฉบับใหม่ก็มีเงื่อนไขเพิ่มขึ้นมา เพื่อให้ชัดเจนขึ้น” นายธีระ กล่าว

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.