เอ็นจีโอ ยื่น 5 ข้อ คุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ย้ำต้องเลิกกระบวนการฟ้องปิดปาก
GH News March 20, 2025 09:29 PM

เอ็นจีโอ ยื่น 5 ข้อ คุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ย้ำต้องเลิกกระบวนการฟ้องปิดปาก

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) ประจำกรุงเทพฯ องค์กร Protection International (PI) เปิดตัวรายงาน “การต่อต้านคือพลัง” เสริมสร้างกลไกคุ้มครองผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย พร้อมจัดเวทีเสวนา “รัฐบาลเพื่อไทยอยู่ดาวดวงไหน ในกลไกการคุ้มครองผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน” โดยมีตัวแทนผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนร่วมงาน พร้อมทั้งตัวแทนสถานทูต เช่น สวีเดน ฝรั่งเศส และเยอรมนี รวมทั้งสหภาพยุโรปและ สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่ง สหประชาชาติ (UHCHR)

ปรานม สมวงศ์ และ สุธิรา เปงอิน ตัวแทน Protection International (PI) ได้แถลงเปิดรายงาน “การต่อต้านคือพลัง” ซึ่งเป็นรายงานที่เกิดขึ้นภายใต้โครงการจุดไฟแห่งการเปลี่ยนแปลง : เสริมพลังผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนเพื่อผลักดันนโยบายคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอย่างครอบคลุม:Fuelling Change : Empowering Women Human Rights Defenders to Drive Comprehensive Policies for Human Rights Protectionภายใต้การสนับสนุนจากโครงการ Human Rights Magna Carta/John Bunyan Fund สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษ

โดยเป็นการลงพื้นที่รับฟังเสียงสะท้อนและข้อเสนอแนะจากผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกว่า 110 คนทั่วประเทศไทย มีเนื้อหาที่สำคัญว่า ผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยยืนหยัดต่อสู้ ในการปกป้องแผ่นดิน ทรัพยากร ความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อม สิทธิแรงงาน เสรีภาพขั้นพื้นฐาน และความเป็นธรรมภายใต้ภาวะของทุนผูกขาด ทำให้ภายใต้ความกล้าหาญนี้กลับถูกตอบแทนด้วย การกดขี่เชิงโครงสร้าง การดำเนินคดีที่ไม่เป็นธรรม การใช้กระบวนการยุติธรรมในการคุกคาม การสอดแนม และการใช้ความรุนแรง

สะท้อนจากการที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีคดีฟ้องร้องเชิงยุทธศาสตร์ต่อการมีส่วนร่วมของสาธารณะ (SLAPPs) มากที่สุดในอาเซียน จากรายงานของ Protection International พบว่า ตั้งแต่หลังรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 ถึงกุมภาพันธ์ 2568 พบว่ามีผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนถูกฟ้องปิดปากทั้งหมด 595 คดีจาก 13 ฐานความผิด โดยทุกเดือนจะมีอย่างน้อย 2 คนที่ต้องเผชิญการถูกใช้กระบวนการยุติธรรมในการคุกคาม ในฐานความผิดต่างๆ

ทั้งกฎหมายหมิ่นประมาท พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ข้อหายุยงปลุกปั่น ละเมิดกฎหมายการชุมนุมสาธารณะ ความผิดฐานขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน คดีความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และ พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ขณะที่กองทุนยุติธรรมซึ่งควรเป็นที่พึ่งของผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลับเต็มไปด้วยเงื่อนไขยุ่งยากจากระบบ และเจ้าหน้าที่ผู้ขาดความรู้ความเข้าใจปฏิเสธไม่ให้เข้าถึง และยังต้องเผชิญกับอำนาจของกลุ่มทุนที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนต่างๆ ดังนั้น ขอเรียกร้องดังนี้

1.กระทรวงยุติธรรมต้องมีคำนิยามและมีการรับรองทางกฎหมาย และการคุ้มครองผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ให้สอดคล้องกับ ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (1998) เนื่องจากปัจจุบันเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมยังไม่เข้าใจว่านักปกป้องสิทธิคือใคร

2.ยุติคดีฟ้องร้องเชิงยุทธศาสตร์ต่อการมีส่วนร่วมของสาธารณะ และการใช้กระบวนการยุติธรรมในการคุกคามอย่างเด็ดขาด ผ่านการออกกฎหมายต่อต้าน SLAPPs โดยทันทีและกฎหมายนี้ต้องมีผลผูกพันทางกฎหมายที่ใช้บังคับ

3.การปฏิรูปกองทุนยุติธรรม ให้สามารถเข้าถึงได้โดยแท้จริง ลดข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรค และรับรองว่าผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินอย่างเป็นธรรม และทันท่วงทีจากที่ในปัจจุบันนักปกป้องสิทธิบางคนใช้เวลานานกว่า 33 เดือนก็ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือแต่อย่างใด

4.สร้างความรับผิดชอบของรัฐและภาคธุรกิจ ในการปกป้องผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน โดยกำหนดมาตรการคว่ำบาตรและกลไกตรวจสอบที่เข้มงวด

5.ฟื้นฟูความเป็นอิสระของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อให้สามารถทำงานด้านสิทธิมนุษยชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปราศจากอิทธิพลทางการเมืองและการแทรกแซงจากหน่วยงานความมั่นคงและทหาร
ด้านนางอังคณา นีละไพจิตร ส.ว.กล่าวในวงเสวนา “รัฐบาลเพื่อไทยอยู่ดาวดวงไหน ในกลไกการคุ้มครองผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน” ว่า การคุกคามนักปกป้องสิทธิเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมาคือการ ลอบสังหาร ทรมาน และบังคับสูญหาย ซึ่งคดีทั้งหมดไม่สามารถนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ แต่รูปแบบการคุกคามใหม่ คือการฟ้องร้องดำเนินคดี ด้อยค่า มีการโจมตี การใช้เรื่องเพศเป็นเครื่องมือทำให้ไร้ค่า

“ตอนรัฐบาลแถลงนโยบายใช้คำสละสลวยเรื่องสิทธิมนุษยชน การมีหลักยุติธรรมและธรรมาภิบาล รวมทั้งไปรับคำมั่นจากต่างประเทศในการปกป้องสิทธิมนุษยชน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้ที่การมีคำมั่นที่ดี แล้วจะเกิดการปฏิบัติ ตั้งแต่ปี 2548 จนถึงวันนี้ไม่มีการปฏิบัติจริง ทั้งนี้เห็นว่ารัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการเยียวยาด้านจิตใจกับผู้หญิงนักปกป้องสิทธิ และต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่คุ้มครองนักต่อสู้ปกป้องสิทธิ เช่น กฎหมายอุ้มหายทรมาน ขณะเดียวกันต้องยกเลิกการดำเนินคดีเพื่อปิดปากนักต่อสู้เรียกร้องสิทธิรวมถึงกระทรวงยุติธรรม”

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.