พาณิชย์ แจง กม.ส่งออก-นำเข้า ไม่ได้ให้อำนาจจับกุมบุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียน
ข่าวสด March 20, 2025 09:41 PM

พาณิชย์ ยันกฎหมายส่งออก-นำเข้า ไม่ได้ให้อำนาจจับกุม บุหรี่ไฟฟ้า ในโรงเรียน

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่าจากข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 ที่มอบหมายให้นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ติดตามการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วนภายใน 30 วัน โดยเน้นการปราบปรามการลักลอบขายบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มนักเรียนนักศึกษาและร้านค้ารอบสถานศึกษานั้น

กระทรวงพาณิชย์ได้มีมาตรการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557

และประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง สินค้าต้องห้ามนำผ่านราชอาณาจักร พ.ศ. 2559 ภายใต้พระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 (พ.ร.บ. การส่งออกไปนอกฯ) ซึ่งยังมีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศเข้าร่วมประชุมหารือมาตรการเกี่ยวกับการควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งมีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และกรมควบคุมโรค เพื่อให้การบังคับใช้มาตรการทางกฎหมายเป็นไปอย่างเข้มงวดและมีประสิทธิภาพ

ขณะเดียวกันได้มุ่งเน้นการสร้างความตระหนักรู้ถึงอันตรายของ บุหรี่ไฟฟ้า และโทษของบุคคลที่ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยกรมการค้าต่างประเทศได้ประชาสัมพันธ์ Infographic เตือนสายควัน หิ้วบารากู่ บุหรี่ไฟฟ้า ต้องรับโทษทั้งจำทั้งปรับ ดังนี้

1) ผู้ขายหรือผู้ให้บริการ บุหรี่ไฟฟ้า มีโทษตามพ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ประกอบคำสั่งคณะกรรมการว่าด้วยความปลอดภัยของสินค้าและบริการ ที่ 24/2567 เรื่อง ห้ามผลิตเพื่อขายห้ามขายหรือให้บริการสินค้าบารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2) ผู้นำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า ภายใต้ พ.ร.บ. การส่งออกไปนอกฯ ประกอบประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับเป็นเงิน 5 เท่า ของราคาสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ

3) ผู้รับไว้ซึ่งบุหรี่ไฟฟ้า ตามพ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2560 กรณีรับบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งนำเข้ามาโดยไม่ผ่านด่านศุลกากร มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับเป็นเงิน 4 เท่า ของราคาของ หรือทั้งจำทั้งปรับ

4) ผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าในเขตปลอดบุหรี่ มีโทษตามพ.ร.บ. ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 ปรับไม่เกิน 5,000 บาท

นางอารดากล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อกรณีที่กระทรวงศึกษาธิการได้รายงานว่า ยังคงพบการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา แต่บุคลากรทางการศึกษาไม่มีอำนาจในการตรวจค้นและยึดบุหรี่ไฟฟ้าจากนักเรียนนักศึกษา ส่งผลให้การควบคุมปัญหาการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชนเป็นไปได้ยาก จึงเสนอให้กระทรวงพาณิชย์แต่งตั้งบุคลากรของกระทรวงศึกษาธิการเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ. การส่งออกไปนอกฯ

ทั้งนี้ในประเด็นดังกล่าวกระทรวงพาณิชย์ขอชี้แจงว่า พ.ร.บ. การส่งออกไปนอกฯ มีวัตถุประสงค์หลักในการบังคับใช้กับผู้ส่งออกนำเข้าสินค้า โดยไม่ครอบคลุมถึงการครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งเป็นของที่ผิดกฎหมาย

นอกจากนี้ พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายฉบับนี้ยังต้องเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการค้าและการนำเข้าส่งออกสินค้า ซึ่งบุคลากรทางการศึกษาไม่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องดังกล่าว และพ.ร.บ. การส่งออกไปนอกฯ เป็นกฎหมายที่กำหนดโทษอาญาร้ายแรง

โดยหากมีการบังคับใช้แล้ว จะต้องดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ซึ่งอาจนำไปสู่โทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับ 5 เท่าของมูลค่าสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงไม่สอดคล้องกับเจตนาของกระทรวงศึกษาธิการที่ไม่ต้องการดำเนินคดีทางอาญากับนักเรียนนักศึกษา ทำให้แนวทางการใช้กฎหมายฉบับนี้ ไม่เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียนและสถานศึกษา

กระทรวงพาณิชย์เห็นควรผลักดันการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเด็กและนักเรียนโดยตรง ได้แก่ พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องรวมถึงกระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนแก้ไขกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษา
พ.ศ. 2548 และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงศึกษาธิการ

ทั้งนี้ การแก้ไขกฎหมายกฎระเบียบดังกล่าว จะช่วยให้บุคลากรทางการศึกษาสามารถกำหนดมาตรการตรวจค้นและยึดบุหรี่ไฟฟ้า ตลอดจนกำหนดบทลงโทษนักเรียนนักศึกษาในสถานศึกษาได้อย่างเพียงพอเหมาะสม โดยไม่ต้องใช้กฎหมายที่มุ่งเน้นด้านการค้าระหว่างประเทศที่มีบทกำหนดโทษทางอาญาที่รุนแรง ซึ่งจะช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายมีความชัดเจนและสอดคล้องกับลักษณะของปัญหาที่เกิดขึ้นในสถาบันการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.