เลขาสภา เคลียร์ชัดปมญัตติฝ่ายค้าน ขีดฆ่าชื่อ ‘ทักษิณ’ออก ไม่ขัดข้อบังคับ-รธน. เดินหน้าอภิปรายไม่ไว้วางวางใจได้ แจงต่างจากการแก้ไขร่างพ.ร.บ.ที่ต้องลงลายมือชื่อสมาชิก เอามาเทียบเคียง ‘แก้ไขญัตติตามมาตรา151’ ไม่ได้
เมื่อวันที่ 21มี.ค.2568 ที่รัฐสภา กรณีมีกระแสข่าวการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ในสัปดาห์หน้า อาจถูกเลื่อนออกไป ไม่สามารถดำเนินการตามญัตติที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร บรรจุไว้ เนื่องจากตรวจสอบพบญัตติของฝ่ายค้าน มีปัญหาเรื่องความถูกต้อง จากการแค่เพียงขีดฆ่าชื่อของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แล้วเปลี่ยนเป็น “บุคคลในครอบครัว” แล้วเซ็นกำกับโดยผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯนั้น
ว่าที่ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ชี้แจงว่า วานนี้ (20มี.ค) มีหนังสือจากสมาชิกที่เห็นต่างรายหนึ่ง ส่งถึงประธานสภาฯ เพื่อแจ้งข้อห่วงใยในเรื่องดังกล่าวว่าจะผิดข้อบังคับและรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมองว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นญัตติที่เสนอตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 ทุกคนจึงมีสถานะเป็นผู้เสนอร่วมกันในจำนวนผู้เสนอ แตกต่างจากญัตติทั่วไปที่ไม่ได้มีการรับรองลายมือชื่อ
สมาชิกคนดังกล่าว จึงมองเทียบเคียงกับกรณีการเสนอร่างพ.ร.บ. ที่ถือเป็นญัตติอย่างหนึ่งที่มีผลทางกฎหมาย มีข้อบังคับข้อ 112 กำหนดชัดว่า การแก้ไขร่างพ.ร.บ.ต้องเป็นการแก้ไขโดยผู้เสนอ จะต้องมีการรับรองลายมือชื่อจากผู้เสนอทุกคน
เลขาธิการสภาฯ กล่าวว่า แต่ในตัวญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ได้กำหนดไว้ในลักษณะแบบนี้ ต่างจากร่างพ.ร.บ.ที่ต้องมีชื่อผู้รับรองในกรณีมีการแก้ไข ทางสำนักการประชุมฯ จึงนำเสนอความเห็นเรียนประธานสภาฯ ยืนยันในความถูกต้อง หากย้อนหลังไปในวันที่ประธานสภาฯ ประชุมกับผู้นำฝ่ายค้าน เพื่อหารือเรื่องการแก้ไขญัตติ
ผู้นำฝ่ายค้าน ได้สอบถามประเด็นดังกล่าวต่อประธานสภาฯ ว่าจะแก้ไขในลักษณะเดียวกับเมื่อยุคของนายชวน หลักภัย เป็นประธานสภาฯ เคยดำเนินการ คือ มีหนังสือนำยืนยันว่าไม่มีข้อบกพร่องในญัตติ แต่ขอแก้ไขเพื่อให้การประชุมผ่านพ้นไปได้ และแก้ไขตัวญัตติในลักษณะเดียวกันกับที่เคยดำเนินการในยุคนายชวน ได้หรือไม่
สำนักการประชุมฯ ยืนยันในวันนั้นว่าสามารถดำเนินการได้ ถ้าเป็นกรณีของญัตติ ไม่ใช่การแก้ไขร่างพ.ร.บ. แม้จะเป็นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา151 ที่แตกต่างจากญัตติทั่วไป แต่ญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ไม่ได้กำหนดไว้ว่าจะต้องแก้ไขและมีชื่อผู้รับรอง หากจะนำมาเทียบเคียงกับข้อบังคับข้อ112 ก็ไม่ตรง เพราะเป็นกรณีสมาชิกเสนอแก้ไข
“แต่ญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ขอแก้ไขเป็นกรณีที่ประธานสภาฯขอให้แก้ไข จะตรงกับข้อบังคับข้อ 111 มากกว่า ดังนั้น สำนักการประชุมฯยืนยันว่าดำเนินการด้วยความถูกต้องชอบด้วยข้อบังคับ และรัฐธรรมนูญ” เลขาฯสภาฯ กล่าว
ว่าที่ร.ต.ต.อาพัทธ์ กล่าวต่อว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจในสัปดาห์ที่หน้า ดำเนินการได้ตามปกติ แต่ถ้าในการประชุม มีสมาชิกลุกขึ้นท้วงติง ทางประธานสภาฯ และสำนักการประชุมฯ จะชี้แจงเพื่อยืนยันความถูกต้องในการแก้ไขญัตติของผู้นำฝ่ายค้าน รวมถึงการอนุญาตให้บรรจุระเบียบวาระการประชุม
ส่วนจะมีปัญหาในการอภิปรายหรือไม่นั้น ต้องดูว่าจะมีสมาชิกนำเรื่องนี้มาท้วงติงหรือไม่ ทางสำนักการประชุมฯ ยืนยันว่าเป็นกระบวนการที่อยู่ในการดำเนินการระหว่างประธานสภาฯกับผู้นำฝ่ายค้านในการแก้ไขข้อบกพร่องของญัตติ หากสมาชิกมีข้อสงสัย ก็มีกระบวนการตรวจสอบกลั่นกรองว่าประธานใช้ดุลยพินิจใช้อำนาจถูกต้องหรือไม่
เมื่อถามถึงกรณีเมื่อครั้งที่นายอุดมเดช รัตนเสถียร สส.ในขณะนั้น สับเปลี่ยนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภาที่เสนอต่อประธานรัฐสภา โดยไม่มีสมาชิกลงชื่อรับรอง จนเกิดเป็นคดีฟ้องร้องต่อศาล เลขาธิการสภาฯ กล่าวว่า กรณีนี้เป็นที่มาที่ทำให้เกิดการแก้ไขข้อบังคับข้อ112 ที่ได้มากำหนดไว้ว่า หากมีการแก้ไขร่างพ.ร.บ.ในสาระสำคัญ ซึ่งเป็นการแก้ไขของสมาชิก ต้องมีสมาชิกร่วมลงชื่อรับรอง
แต่กรณีการโต้แย้งดังกล่าว เป็นการนำการแก้ไขร่างพ.ร.บ.มาเทียบเคียงกับการขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทำให้เกิดข้อกังวลขึ้น ซึ่งจะนำมาเทียบเคียงกันไม่ได้ เพราะข้อบังคับเกี่ยวกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ไม่ได้กำหนดไว้ เป็นเพียงข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านที่ครม. จะต้องมาชี้แจงแก้ไข แต่ร่างพ.ร.บ.มีผลบังคับใช้ทางกฎหมายที่จะไปบังคับใช้กับประชาชนในสิ่งที่เกิดขึ้นมันซับซ้อนกว่า