ผู้เขียน | สุโชติ ถิรวรรณรัตน์ |
---|
บทความ “คิด เห็น แชร์” ฉบับนี้ ผมจะเขียนเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องจากฉบับเดือนก่อนหน้า ที่ผมแชร์ความเห็นของผมที่มีต่อมาตรการระยะสั้น ทั้งของกระทรวงการคลังและตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งมีเป้าหมายที่จะฟื้นความเชื่อมั่นให้กับตลาดหุ้นไทย เนื่องจาก “ความผันผวนของตลาดหุ้น” เป็นปัจจัยสำคัญที่หน่วยงานภาครัฐในแต่ละประเทศจะให้ความสำคัญ เพราะนอกจากจะส่งผลต่อทั้งในเชิงจิตวิทยาแล้ว ความผันผวนของตลาดหุ้นจะส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจจริงด้วย ทั้งการลงทุนภาคเอกชน การบริโภคภาคเอกชน เงินออมของประชาชน เป็นต้น
เริ่มต้นที่มาตรการระยะสั้นที่จะเข้ามาช่วยชะลอการไหลออกของเม็ดเงินลงทุน ได้แก่ มาตรการสับเปลี่ยนกองทุน LTF (เดิม) มาเป็นกองทุน Thai ESGX (ใหม่) และได้รับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนทางภาษี ซึ่งผมยังคงประเมินมาตรการนี้ เป็นเพียงมาตรการที่ “ช่วยหยุด หรือชะลอการไหลออกของเงินทุนระยะสั้น” เท่านั้น ขณะที่มาตรการระยะถัดไปคือการเติมเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบ โดยจะเปิดให้นักลงทุนเข้าซื้อกองทุน Thai ESGX (ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 3 แสนบาท) ภายในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน อย่างไรก็ดี การบีบกรอบระยะเวลาให้เม็ดเงินใหม่เติมเข้าสู่ระบบในระยะเวลาสั้นๆ เพียง 2 เดือน หากกำหนดจังหวะเวลาที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้มาตรการนี้ไม่ได้ผลเช่นกัน เป็นเรื่องของ “Market timing” หรือการกำหนดจังหวะเวลาที่เหมาะสม
ทั้งนี้ผมประเมินว่าช่วงระยะเวลาที่ภาครัฐกำหนดนั้น ได้มีการประเมินแล้วว่าน่าจะจูงใจให้นักลงทุนตัดสินใจซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีในกรอบระยะเวลาดังกล่าว เนื่องจาก 1) สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับประเทศต่างๆ คาดจะเริ่มต้นขึ้นในเดือนเมษายน ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงเดือนเมษายนนี้ 2) คาดมีความเป็นไปได้สูงที่ ธ.กลาง สหรัฐ (เฟด) จะตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวันที่ 6-7 พฤษภาคม และ/หรือ 17-18 มิถุนายน เนื่องจากประเมินว่าเฟดจะรอดูผลของสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจสหรัฐก่อนทำการตัดสินใจ และ 3) คาดว่าการรายงานตัวเลข GDP สหรัฐ 1Q68 (เบื้องต้น) ในปลายเดือนเมษายน และมีความเป็นไปได้ที่ตัวเลข GDP สหรัฐใน 1Q68 จะชะลอตัวลง และจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก
ดังนั้น ช่วงเวลาที่ภาครัฐกำหนดให้ซื้อกองทุน Thai ESGX เดือนพฤษภาคม-มิถุนายน จึงอาจเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสม ช่วยเร่งการตัดสินใจของนักลงทุนให้เข้าซื้อกองทุน Thai ESGX ในกรอบระยะเวลาสั้นๆ เพียง 2 เดือน (พ.ค.-มิ.ย.) ที่คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะผ่านจุดต่ำสุดในเดือนเมษายน ก่อนที่จะเริ่มฟื้นตัวในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน
นอกจากนี้ทาง ตลท.อยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็น สำหรับมาตรการกำหนด High Frequency Trade (HFT) และมาตรการ Short Selling ที่จะกำหนดให้สามารถทำธุรกรรมได้เฉพาะหุ้นในดัชนี SET100 เท่านั้น สำหรับประเด็นนี้ผมยังคงมุมมองว่าอาจไม่ได้ช่วยหนุนดัชนี SET index ให้ปรับขึ้น เนื่องจากธุรกรรม HFT และ Short selling ก็จะไปกระจุกตัวอยู่ที่หุ้นในดัชนี SET100 และ SET50 ซึ่งในทางกลับกันอาจจะทำให้ดัชนี SET index มีความผันผวนมากขึ้น และส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยัง Valuation เพราะนักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติ จะต้องการส่วนชดเชยความเสี่ยงมากขึ้นนั่นเอง (ต้องการ Valuation ทั้ง PE/PBV ที่ต่ำลง) อย่างไรก็ดีหุ้นที่มี Market cap ขนาดกลาง-เล็ก ที่อยู่นอกดัชนี SET100 และมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี จะเป็นเป้าหมายการลงทุนที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน ดังนั้นสำหรับกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยหากมาตรการนี้มีผลบังคับใช้
ผมแนะนำให้ Selective buy หุ้นรายตัว แทนกลยุทธ์ที่เน้นลงทุนตามดัชนี ทั้งนี้สำหรับมาตรการควบคุมการ Short selling จะเห็นว่าเป็นมาตรการหลักๆ ที่หลายประเทศเลือกใช้ เมื่อตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะด้านขาลง อาทิ อินโดนีเซีย ล่าสุดได้ชะลอแผนการอนุญาตให้ทำธุรกิจ Short sell ออกไปก่อน จากเดิมที่กำหนดไว้ใน 2Q68 นี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากตลาดหุ้นที่ปรับลงแรง เป็นต้น
สำหรับมาตรการระยะกลาง-ยาว ที่ผมประเมินว่าจะมีนัยสำคัญ คือ โครงการ “Jump+” ที่จะสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนที่เข้าร่วมโครงการวางแผนการเติบโต และจะมีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกำไรส่วนเพิ่มที่ทำได้ตามแผน ในเบื้องต้นเท่ากับว่าเป็นการลดภาษีนิติบุคคลให้กับบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ผลการดำเนินงานเติบโต ซึ่งจะเป็นบวกกับตลาดหุ้น เนื่องจากการจ่ายภาษีนิติบุคคลที่ลดลงจะทำให้กำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดีโครงการนี้ยังต้องรอรายละเอียดเพิ่มเติมอีกหลายประการ ถึงจะสามารถวิเคราะห์ถึงผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยได้ ยกตัวอย่างเช่น กรณีบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI และมีอัตราภาษีจ่ายในระดับที่ต่ำมากอยู่แล้ว หรือแทบจะไม่เสียภาษีนิติบุคคลอยู่แล้วจากการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOI จะได้รับสิทธิจากโครงการ Jump+ นี้อย่างไร เป็นต้น
สำหรับมาตรการระยะกลาง-ยาว ที่น่าสนใจยังมีอีก 2 มาตรการ คือ
1.โครงการ Thailand Individual Saving Account (TISA) หรือโครงการซื้อหุ้นเพื่อลดหย่อนภาษี ซึ่งนำแนวคิดนี้มาจากประเทศญี่ปุ่น อย่างไรก็ดียังไม่มีรายละเอียดโครงการนี้มากนัก รวมทั้งยังไม่สามารถกำหนดกรอบระยะเวลาที่จะเริ่มนำมาใช้ได้
2.การปรับเกณฑ์โครงการซื้อหุ้นของบริษัทจดทะเบียน หรือ Treasury stock ให้บริษัทจดทะเบียนสามารถจัดทำโครงการนี้เพื่อบริหารสภาพคล่องได้ง่ายขึ้น ซึ่งมาตรการนี้อยู่ระหว่างเสนอกระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้ อินโดนีเซียก็มีการปรับใช้มาตรการโครงการซื้อหุ้นคืนหลังตลาดหุ้นตกหนัก เช่นกัน
โดยสรุปแล้วผมประเมินว่า การที่ภาครัฐและ ตลท. เตรียมแผนที่จะพลิกฟื้นวิกฤตศรัทธาในครั้งนี้ น่าจะเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมกับการกลับมาพิจารณาเริ่มต้นลงทุนในตลาดหุ้นไทย หลังจากคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าในเดือนเมษายนแล้ว ในระดับราคาหรือ Valuation ที่ถูก หรือใกล้เคียงระดับวิกฤตโควิด-19 แล้วในขณะนี้