เมื่อวันที่ 22 มีนาคม น.ส.มลฤดี โพธิ์อินทร์ รองหัวหน้าฝ่ายนโยบายและนวัตกรรม สภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา ตัวแทนสภาผู้บริโภคเข้ายื่นหนังสือและประชุมร่วมกับผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เนื่องจากสภาผู้บริโภค และเครือข่ายภาคประชาชนมีความกังวลต่อมาตรการ “ร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาล” (Co-Payment) ในระบบประกันสุขภาพ ร้อยละ 30-50 แล้วแต่เงื่อนไข โดยชี้ว่า มาตรการดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขปัญหาการเรียกร้องค่าสินไหมเกินจริงได้ และอาจยิ่งเพิ่มภาระให้กับผู้บริโภคโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ
“แม้ คปภ. จะมีเจตนาควบคุมพฤติกรรมการเรียกร้องค่ารักษาพยาบาล แต่การผลักภาระให้ผู้ป่วยต้องร่วมจ่าย ซึ่งค่าใช้จ่ายสูงถึงร้อยละ 30-50 อาจไม่ใช่คำตอบที่ตรงจุด โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบางที่มีความจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง มาตรการร่วมจ่ายในระบบประกันสุขภาพ เป็นการผลักภาระให้ผู้บริโภคอย่างชัดเจน หากไม่มีการทบทวนอย่างรอบด้าน ย่อมส่งผลกระทบในระยะยาว โดยเฉพาะในกลุ่มโรคที่เกิดขึ้นบ่อยในเด็กและผู้สูงวัย ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการความคุ้มครองทางสุขภาพมากเป็นพิเศษ” น.ส.มลฤดี กล่าว
รองหัวหน้าฝ่ายนโยบายและนวัตกรรม กล่าวว่า ในการหารือดังกล่าว คปภ. ยอมรับว่าหลักเกณฑ์ของมาตรการร่วมจ่ายมีข้อจำกัด โดยเฉพาะในกรณีโรคเจ็บป่วยเล็กน้อย (Simple Diseases) ที่พบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ เช่น ท้องร่วง ปอดบวม กระเพาะและลำไส้อักเสบ ต้อกระจก เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ซึ่งยังไม่มีการกำหนดแนวทางรองรับที่ชัดเจน ทั้งที่กลุ่มผู้สูงอายุมีความเสี่ยงด้านสุขภาพสูง และจำเป็นต้องได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสม สอดคล้องกับข้อมูลสถิติของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในปี 2566 ขณะเดียวกัน สภาผู้บริโภคยังได้ตั้งข้อสังเกตต่อปัญหาเงินเฟ้อทางการแพทย์ ซึ่งมีสาเหตุหลักจากค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องทุกปี โดยไม่มีมาตรการควบคุมต้นทุนอย่างเป็นรูปธรรม แม้ คปภ.จะอ้างว่าการออกมาตรการร่วมจ่าย เป็นแนวทางยับยั้งการเรียกร้องค่ารักษาที่ไม่สมเหตุสมผล แต่สภาผู้บริโภคเห็นว่า เป็นการแก้ไขปัญหาผิดจุด เพราะต้นตอของปัญหาอยู่ที่ราคาค่ารักษาพยาบาลที่ไม่เป็นธรรม ทั้งนี้ คปภ.แจ้งว่าจะนำข้อเสนอเหล่านี้ไปพิจารณาเพื่อปรับปรุงเกณฑ์ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
“จากข้อมูลเรื่องร้องเรียนที่เรารวบรวม พบว่าค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีการควบคุม เช่น น้ำเกลือที่มีต้นทุนเพียง 45 บาท แต่ถูกคิดราคาถึง 900 บาท หรือมากกว่า 20 เท่า ซึ่งสะท้อนชัดว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผู้ป่วยเรียกร้องมากเกินไป แต่อยู่ที่ต้นทุนการรักษาที่แพงเกินจริง” น.ส.มลฤดี กล่าว
นอกจากนี้ สภาผู้บริโภคยังตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการกำหนดอัตราร่วมจ่ายสูงถึงร้อยละ 30-50 ว่า มีที่มาจากหลักเกณฑ์หรือข้อมูลใด อีกทั้งยังไม่มีความชัดเจนในการนิยามคำว่า “โรคเจ็บป่วยเล็กน้อย” ซึ่งอาจถูกใช้เป็นช่องโหว่ในการปฏิเสธความคุ้มครอง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มักมีภาวะแทรกซ้อนหลายโรค ทั้งนี้แม้ คปภ. จะยืนยันว่ามาตรการร่วมจ่ายเป็นเพียงหนึ่งในทางเลือกของกรมธรรม์ประกันสุขภาพ แต่ก็ยังไม่มีการประเมินผลกระทบระยะยาวที่ชัดเจนต่อผู้บริโภค
น.ส.มลฤดี กล่าวว่า สภาผู้บริโภคเรียกร้องให้ คปภ.ทบทวนมาตรการร่วมจ่ายอย่างโปร่งใส และชะลอการบังคับใช้ออกไปก่อนจนกว่าจะมีแนวทางควบคุมราคาค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนที่ชัดเจน รวมทั้งเสนอให้มีมาตรการกำกับดูแลตัวแทนขายประกันไม่ให้บิดเบือนข้อมูล หรือใช้กลยุทธ์ที่อาจหลอกลวงผู้บริโภค โดยเฉพาะการเสนอขายกรมธรรม์ร่วมจ่ายว่าเป็นตัวเลือกที่ “คุ้มค่า” ทั้งที่ในความเป็นจริง อาจผลักภาระให้กับประชาชนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เสนอให้มีสภาผู้บริโภค ผู้แทนผู้บริโภคตามกฎหมายอยู่ในคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคและการมีส่วนร่วมด้านประกันภัย
“การเคลื่อนไหวที่ผ่านมา ทั้งจากสภาผู้บริโภคและผู้บริโภคทั่วไปสะท้อนชัดเจนว่า ไม่มีใครต้องการตกเป็นเหยื่อของนโยบายที่ขาดการพิจารณาผลกระทบอย่างรอบด้าน จึงเรียกร้องให้ คปภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนมาตรการร่วมจ่าย และชะลอการบังคับใช้ก่อน เพราะสุขภาพไม่ควรถูกมองเป็นเพียงตัวเลขเชิงธุรกิจ แต่คือสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนพึงได้รับ” น.ส.มลฤดี กล่าว