บทเรียนน้ำท่วมปีที่แล้วยังอ่านไม่จบ  'ลานิญา 'จ่อส่งพระพิรุณถล่มต่อ
GH News March 23, 2025 07:08 PM

จากปรากฎการณ์ลานิญาในปีนี้ เป็นสัญญาณว่าปริมาณฝนในปีนี้จะมาก  โดยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)ประเมินว่าปริมาน้ำฝนปี2568 จะมากกว่าปีก่อนราว  15%   โดยในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนปริมาณเฉลี่ยฝน จะมากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 49% และเมื่อถึงช่วงฤดูฝนจริงๆ ในเดือนตุลาคมปริมาณฝนจะมากกว่าปกติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าระวัง และเตรียมการรับมือ  ซึ่งตามแผนของสทนช.และคณะกรรมการน้ำแห่งชาติ   วางแผนไว้ว่าจะทำการระบายน้ำในเขื่อนขนาดกลางและขนาดใหญ่ 21 แห่ง ซึ่งขณะนี้มีน้ำประมาณ 65%   จะต้องระบายน้ำออกตั้งแต่ช่วงหน้าแล้งเป็นต้นไป หรือเป็นการระบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป   เพื่อให้เขื่อนมีพื้นที่รับน้ำฝนใหม่ที่จะตกลงมาและยังมีการเตรียมเรื่องระบบเตือนภัยอีกด้วย

เนื่องจากในปีที่แล้ว ความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ส่งผลกระทบรุนแรง เกิดฝนตกหนัก น้ำท่วมภาคเหนือ  โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย จังหวัดยะลา ยิ่งในปีนี้ อยู่ในปรากฎกาณ์ลานิญา ก็มีโอกาสที่จะเกิดน้ำท่วมได้อีก เพราะฝนจะมากกว่าปีก่อน  เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่แม่สาย จ.เชียงราย และจังหวัดขายแดนภาคใต้ จึงเป็นบทเรียนที่ยังเปิดไม่ถึงหน้าสุดท้ายของเล่ม ก็จะต้องหาทางรับมือกับผลกระทบใหม่ของปีนี้แล้ว

ในโอกาสวันน้ำโลก ปี 2568 ตรงกับวันที่ 22 มีนาคม  ที่ผ่านมาสทนช.ได้จัดงานวันน้ำโลก  ภายใต้แนวคิด ของสหประชาชาติ“น้ำคือชีวิต การอนุรักษ์น้ำและธารน้ำแข็งเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” หรือ “Glacier Preservation” ที่ชี้ให้เห็นความสำคัญอนุรักษ์ธารน้ำแข็ง   ซึ่งเป็นแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ราว 18,600 จุด ในพื้นที่มรดกโลก 50 แห่ง คิดเป็นพื้นที่กว่า 66,000 ตารางกิโลเมตร กำลังละลายอย่างรวดเร็ว และคาดว่ากว่า 1 ใน 3 ของจำนวนธารน้ำแข็งทั้งหมด จะหายไปในอีกไม่ถึง 30 ปีข้างหน้า  ซึ่งทำให้การจัดงานวันน้ำโลกในไทยปีนี้ ได้เชื่อมโยงกับปัญหาน้ำและธารน้ำแข็ง รวมที้่ง มีการ

ผนวกสถานการณ์น้ำในปีที่แล้ว มาจัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “Climate Change Adaptation” หรือ “การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”  โดยมีการเชิญตัวแทนภาครัฐและภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมาร่วมเสวนา

เริ่มจาก นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม  หรือกรมโลกร้อน กล่าวว่า  ธารน้ำแข็งขั้วโลกมีความสำคัญเป็นที่พึ่งพาของคนเกือบทั่วโลก  เมื่อธารน้ำแข็งละลาย ทำให้คนทั่วโลกต้องปรับตัว กรมโลกร้อนได้ทำแผนการปรับตัว ขับเคลื่อนแบบบูรณาการ ระหว่างหน่วยงานโดยมีการเซ็นเอ็มโอยู 7หน่วยงาน ในเรื่องการปรับตัว การขับเคลื่อนเป็นหน้าที่ของภาครัฐ ซึ่งน้ำเป็นสาขาหลักในเรื่องของการปรับตัว ที่เหลือเป็นภาคเกษตร การผลิตอาหาร ท่องเที่ยว สุขภาพและการย้ายถิ่นฐาน  แต่น้ำเป็นเรื่องสำคัญมากเพราะเป็นปัจจัยหลักการดำรงชีวิตของผู้คน ปัญหาสภาพอากาศปัจจุบัน เปลี่ยน ไปจาก PATTERN  เดิม เมื่อ 50ปีก่อน   ปัจจุบันฝนมีการผิดเพี้ยน อาจตกหนัก หรือตกน้อย ตกเป็นหย่อมๆ ซึ่งความผิดเพี้ยนนี้ทำให้ต้องมีการรับมือ ดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อปกป้องชีวิตทรัพย์สินของประชาชน  โดยเฉพาะการเตือนภัยล่วงหน้า เป็นสิ่งจำเป็น แต่ที่ผ่านมาก็เป็นการเตือนระดับหนึ่ง  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงมันเกินกว่าที่คาดคิด  อย่างที่เชียงรายมีหินก้อนใหญ่ขนาดเท่าบ้านไหลลงมาต้นน้ำ สะท้อนว่าพื้นที่ไม่ดูดซับน้ำฝนที่ตกลงมาได้  สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องที่กรมโลกร้อนให้ความสำคัญ หลังการเอ็มโอยูกับ 7หน่วยงานจะทำแอคชั่นการปรับตัวแต่ละสาขา  เป็นการทำงานร่วมกัน ทั้งกรมอุตุ สสน. สทนช. และหน่วยงานๆอื่นๆมีการตั้งศูนย์ขึ้นมาดูแล

รองอธิบดีฯ กล่าวอีกว่า  จริงๆแล้วขณะนี้ ในระดับนานาชาติได้มีการพูดถึงการปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  ว่าเป้าหมายการปรับตัวมีการพูดคุยเรื่องตัวชี้วัดปรับตัว  โดยในเดือนมีนาคมน่้ จะมีการพูดคุยของผู้เชี่ยวชาญ เกี่ยวกับการกำหนดตัวชี้วัดระดับโลกว่าควรมีอะไรบ้าง และออกมาในรูปแบบไหอย่างไร โดยตัวชี้วัดระดับโลกนี้ จะเป็นหนึ่งในTheme สำคัญในการประชุม Cop  30  ในปีนี้ อีกด้วย


“เรื่องการปรับตัวการพูดเรื่องก๊าซเรือนกระจกมีการพูดกันมาก  แม้แต่ในประเทศไทยมีตัวเลขเรื่องนี้แบบจับต้องได้ แต่เรื่องการปรับตัวกับผลกระทบที่เกิดขึ้น ตัวเลขอาจจะยังไม่ชัด ปัญหาคือทำอย่างไรถึงจะทำให้สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นรูปธรรม เพราะที่เรามาพูดมาคุยกันยังเป็นนามธรรม  เราจะต้องลงมือทำในสิ่งที่ประชาชนมีภูมิคุ้มกัน การปรับตัวต่างๆเกิดขึ้น ไม่ว่าสิ่งปลูกสร้างหรือการใช้ธรรมชาติในการรักษา ยังไม่พอ ต้องมีเรื่องอื่นๆอีก “ รองอธิบดีฯกล่าว

ตัวแทนภาคชุมชนจากจังหวัดเชียงราย ที่เจอน้ำท่วมหนักรุนแรงเมื่อปีที่แล้ว  ร.ต.อ.เด่นวุฒิ จันต๊ะขัติ นายก อบต.เกาะช้าง จังหวัดเชียงราย กล่าวว่า  น้ำท่วมเชียงรายเมื่อปลายปีที่แล้วเป็นเวลา 2เดือน มีผลกระทบมาก ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ สภาพความเป็นอยู่และจิตใจของชาวแม่สาย   เกิดความกังวลตลอดเวลาหากมีฝนตก เกิดความวิตกจริต กลัวน้ำท่วม ความวิตกนี้ แม้ตอนนี้ก็ยังไม่หายไป นอกจากนี้ เหตุการณ์น้ำทวมยังเปลี่ยนพื้นที่เส้นทางน้ำ  เราได้มีการพูดคุยกับกลุ่ม PBC  เพื่อให้เชื่อมโยงกับรัฐบาลเมียนมาร์ช่วยกันแก้ปัญหา แต่เกือบปียังไม่คืบหน้าโดยเฉพาะเรื่องสิ่งปลูกสร้างแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร ยังแก้ไม่ได้ ส่วนเรื่องการขุดลอกลำน้ำเพื่อให้รับน้ำมากขึ้น ทางฝั่งเมียนมาร์ เริ่มทำแล้ว แต่ฝั่งไทยยังนิ่ง ทราบมาว่าจะดำเนินการเดือนมีนาคมนี้ แต่ก็ยังไม่เห็นเป็นรูปเป็นร่าง จากผลกระทบดังกล่าว

ด้านการเยียวยาความเสียหายจากน้ำท่วมแม่สายเมื่อปีก่อน นายก อบต.เกาะช้างกล่าวว่า ความเสียหายทั้งหมดมีมูลค่า 6,046 ล้านบาท แบ่งเป็นความเสียหายเศรษฐกิจการค้า 3,300 ล้านบาท ความเสียหายต้องเยียวยาประชาชนที่ได้รับกระทบ 560 ล้านบาท  แต่ในความเป็นจริงตอนนี้ได้รับความช่วยเหลือจากงบฯกลาง ไปแล้ว  200 ล้านบาท งบฯช่วยเหลือจากจังหวัด 50 ล้านบาท ยังคงค้าง 300 ล้านบาท   ส่วนการเยียวยาภาคเกษตร ประมง ที่รัฐบาลรับปากจะให้ครอบครัวละ 1หมื่นบาท ตอนนี้ ยังไม่มีใครได้รับสักบาท ตนลงพื้นที่ชาวบ้านถามเมื่อไหร่จะได้

ประเด็นจะแก้ปัญหาน้ำท่วมให้ยั่งยืนอย่างไร ร.ต.อ.เด่นวุฒิ ตั้งคำถาม ว่า ปัจจุบันพื้นที่แม่สายท่วมทุกปี อย่างต.เกาะช้าง ซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำจากแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกที่มีต้นน้ำจากเมียนมาร์ และยังได้รับผลกระทบน้ำหนุนจากลำน้ำโขงจากประเทศจีน การท่วมเป็นเวลาแรมเดือนไม่ใช่แค่ 2-3วัน   การช่วยเหลือที่ผ่านมา ต้องให้เอกชนช่วย เพราะรอภาครัฐจะช้า ส่วนท้องถิ่นงบฯไม่พอ  จะทำได้ก็ต่อเมื่อเกิดภัยพิบัติเท่านี้น  จึงอยากฝากผู้มีอำนาจว่าควรจะให้ความสำคัญปัญหาเรื่องน้ำ ถ้ายังช้าในเรื่องการทำตลิ่งถาวร ขุดคลองเพื่อขยายให้ลึกเพื่อรับน้ำได้มากขึ้น ถ้าไม่ทำ ปีนี้แม่สายเจอท่วมอีกแน่นอน  

“ต้นน้ำนั้นอยู่ที่เมียนมาร์ เราไม่สามารถทำอะไรได้สักอย่าง การแสวงหาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านก็เป้นเรื่องยาก ต้องคุยกับชนกลุ่มน้อย ซึ่งทางเขาจะแบ่งให้ชนกลุ่มน้อยดูแลแต่ละช่วงแม่น้ำ ยากจะเข้าถึง  จึงอยากให้ภาครัฐช่วยเหลือและอำนวยการเรื่องงบประมาณต่างๆ ให้ทำก่อนที่น้ำจะมาในปีนี้  ” ร.ต.อ.เด่นวุฒิ กล่าว

ตัวแทนชุมชนภาคใต้ นายดอเล๊าะอาลี สาแม ประธานเครือข่ายเตือนภัยพิบัติชุมชนเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ชายแดนใต้ พูดถึงปัญหาภัยพิบัติน้ำท่วมและน้ำป่าไหลหลากว่า  ภัยพิบัติในพื้นที่ 3จังหวัดชายแดนใต้ เกิดหนักที่2566 ที่จังจ.นราธิวาส ตามมาในปี 2537 ที่จ.ยะลา  ซึ่งเกิดที่อ.เบตง  ธารโต บันนังสะตา สุไหงปาดี ระแงะ เป็นพื้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำสายบุรี แม่น้ำปัตตานี ตั้งแต่ปี2563 เราติดตามสถานการณ์ น้ำ 3จังหวัดชายแดนใต้ น้ำหลากเวลาลงมา ไม่ใช่เฉพาะน้ำ แต่เพราะมีการทำอะไรกับป่า บุกรุกป่า สิ่งที่ลงมาจึงมีทั้งเศษไม้อะไรต่างๆ สร้างปัญหาความเสียหายให้กับประชาชน  การบุกรุกป่าปัจจุบันต่างกับสมัยก่อน ที่รุกไปทำสวนยาง แต่ปัจจุบันรุกเพื่อไปปลูกทุเรียน ซึ่งต้องขุดรากไม้เดิมออกไปให้หมด เพราะทุเรียนไม่ชอบ แต่รุกเพื่อทำสวนยางไม่จำเป็นต้องขุดรากไม้ออกทั้งหมด ซึ่งรากไม้เหล่านี้ แต่ก่อนจะทำหน้าที่ดูดซับน้ำ ยึดดินไว้ แต่ในปี 2566 ฝนตกลงมา  ดินอุ้มน้ำไว้ไม่ได้ จึงเอาทั้งโคลนและเศษไม้ลงมาทับบ้านเรือนเสียหาย  19หลัง และต้องซ่อมแซม 100 กว่าหลัง  และน้ำยังท่วมระดับ 2เมตร บ้าน สองชั้น หรือโรงเรียนสองชั้น ก็ไม่รอดท่วมเหมือนกันหมด

นายดอเล๊าะอาลี สาแม ยังกล่าวถึงปัญหาการเตือนภัยว่า เคยได้รับข้อมูล จากอุตุนิยมวิทยาภาคใต้ และสสน.ล่วงหน้า 3 วัน ฝนจะตกเมื่อไหร่ แต่ข้อมูลนี้ ยังกระจายไม่ถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และไปถึงชาวบ้านเท่าที่ควร หรือพอเตือนไปก็ไม่เชื่อ เพราะไม่ได้เห็นข้อมูล  พอเกิดเหตุขึ้นจริง ก็จะมีเสียงพูดว่าไม่นึกว่าจะมาจริง ฉะนั้น จึงถึงเวลาแล้วต้องมีการบูรณาการเรื่องการเตือนภัย กันได้แล้ว  
“บ้านผมท่วม2เมตร น้ำมา 4ด้าน ลงมาจากเขา และขึ้นมาจากด้านล้างด้วย แล้วมาชนกัน น้ำทะเลล้นตลิ่ง ผมเคยแจ้งเตือน แต่ถูกผู้นำอื่นๆตำหนิ ไม่เชื่อว่าจะเอาน้ำมาจากไหน เพราะเขาไม่รู้ข้อมูล ทำยังไง จะให้ข้อมูลถึงประชาชนให้ได้ “

อีกตัวแทนชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  นายสมปอง รัศมิทัต นายก อบต.บางยอ จังหวัดสมุทรปราการ กล่าวถึง ปัญหาภัยแล้งและน้ำทะเลหนุนสูง ว่าพื้นที่บางกระเจ้า 12,000 ไร่ ถือว่าเป็นพื้นที่สีเขียว เป็นปอดให้คนกรุงเทพ ฯ ตั้งแต่เป็นเด็กเมื่อ 40 ปีก่อน น้ำที่บางกระเจ้าเป็นบริบทน้ำจืดกับน้ำเค็ม สมัยนั้นจะมีน้ำเค็มประมาณ 3เดือน และน้ำจืด 8เดือน และตอนนั้นยังไม่มีประตูระบายน้ำ 34ประตู  เหมือนปัจจุบัน ปัญหาน้ำเค็มมาก กว่าน้ำจืดยังมาจากถ้ามีการปล่อยน้ำเหนือมาน้อย และเจอน้ำเค็มหนุนอีก ก็จะทำให้มีน้ำเค็มมากกว่าน้ำจืด   ซึ่งเจอเหตุการณ์แบบนี้2ปีติดๆกันแล้ว  น้ำเค็มจะมาประมาณ 8 เดือน ทำให้ผลไม้บางกระเจ้า โดยเฉพาะมะม่วงน้ำดอกไม้ มีรสชาติดี 3 รส เป็นเอกลักษณ์ท้องถิ่น เสียหาย  ผลไม้อยู่ไม่ได้ ทั้งมะม่วงและชมพู่  ปัญหาหลักคือ บางกระเจ้ามีประตูน้ำ 34 ประตู แต่ยังไม่มีการบริหารจัดการที่ดี  มีเพียง 4ประตู ที่คนบางยอเข้าไปดูแล โดยใช้เอไอปิดเปิดประตูระบายน้ำได้  4บาน  แต่อีก30บานยังขาดการดูแล  จึงอยากได้คนกลางมาบริหารจัดการประตูน้ำที่เหลืออีก  30 บาน คนกลางนี้จะทำหน้าที่ควบคุม เปิดปิด ประตูน้ำ โดยอาจใช้เทคโนโลยีมาช่วย เปิดปิดทางมือถือ ซึ่งผมเชื่อว่าพื้นที่บางกระเจ้า 12,000 ไร่น่าจะมีสถานการณ์ที่ดีขึ้น

หลังจากฟังปัญหาและความคิดเห็นจากตัวแทนชุมชนต่างๆ ดร.สุรสีห์  กิตติมณฑล เลขาธิการ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช. )กล่าวว่า เรื่องน้ำเป็นเรื่องสำคัญ   เป็นจุดเริ่มต้นทำให้เกิดแผนเรื่องน้ำ 20ปี  เป็นคัมภีร์บริหารจ้ดการน้ำ ฉบับที่ 1 เป็นแผนปี 2561-2565 แต่ฉบับแรกยังไม่มีการนำเรื่อง climate change  มาร่วมพิจารณาในแผนด้วย จึงมีการปรับปรุงแผนปี 2566-2580 นำเงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมาคิดวิเคราะห์ รวมทั้งการเกิดภัยพิบัติต่างๆ  เพื่อลดผลกระทบ ตลอดจนการพัฒนาคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มาร่วมคิดวิเคราะห์ด้วย 

ทั้งนี้ ในแผน 20ปี มองน้ำในเรื่องของอุปโภคบริโภค การสร้างความมั่นคงภาคการเกษตร การบรรเทา ปัญหา การอนุรักษ์ฟื้นฟู ระบบนิเวศน และทรัพยากรน้ำ โดยใช้เทคโนโลยีมาช่วย   การดำเนินการของแผนมีทั้งดำเนินการประจำปีและดำเนินการระยะยาว แต่ ปัญหา climate change   ที่เกิด ทำให้การทำตามแผนพัฒนาที่วางไว้ไม่ทันเวลา และยังมีเรื่องการปรับตัว   ทำให้ต้องมีมาตรการต่างๆ มาช่วยรับมือ เช่น การรับมือในหน้าแล้ง เพราะโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่ออกแบบไว้เดิม ไม่สามารถรองรับและแก้ปัญหาได้ทั้งหมด หรือแม้แต่การใช้งบประมาณแก้ปัญหาที่มีจำนวนมหาศาล แต่ก็ยังแก้ปัญหาไม่ทัน ไม่ทัน จึงต้องมีมาตรการรับมือแต่ละฤดู  เช่น ในหน้าฝนมองว่าระบบรองรับน้ำ ที่เคยออกแบบไว้เดิม รับน้ำได้แค่ 80 มิลลิมเตรต่อชั่วโมง   ไม่สามารถรองรับกับปริมาณฝนที่เข้มมาก  หรือที่เรียกว่า Rain Bomb ตกมาที200-300 มิลลิเมตร /ชั่วโมง  ดังนั้น จึงต้องมีมาตรการรองรับ

” สทนช.จึงได้เสนอคณะกรรมการน้ำแห่งชาติ ให้มีมาตรการแต่ละฤดู แต่สิ่งสำคัญที่เรามีความจำเป็น ทำงานเชิงรุกคือ การระบุพื้นที่เป้าเสี่ยง ปีนี้จะมีความเข้มข้นมากในเรื่องพื้นที่เป้าเสี่ยง  ในฤดูฝนเราจะชี้พื้นที่เปราะบางด้วย เช่น พื้นที่ที่ต้องเจระบบประปาล่ม โรงพยาบาล บ้าน วัด โรงเรียน สถานที่ดูแลผู้สูงอายุ จะมีการชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงเหล่านี้ ไปดำเนิ นการในเชิงป้องกันก่อน    “ดร.สุรสีห์กล่าว

เลขาสทนช. กล่าวอีกว่า อีกเรื่องที่สำคัญก็คือ  กลไกการแจ้งเตือน   ต้องมีการปรับตัว  เพราะ Climate change มีโอกาสที่จะเกิด   Rain Bomb  สูงมาก  สิ่งที่สำคัญการแจ้งเตือนต้องมีประสิทธิภาพ ต้องทันท่วงที และต้องมียุทธศาสตร์ประชาสัมพันธ์ คือ   1.ระบบฐานข้อมูลแจ้งเตือนต้องมีประสิทธิภาพ  แม่นยำ ถ้าหลายหน่วยงานให้ข้อมูลต่างคนต่างให้ในภาวะวิกฤต โดยไม่เป็นเอกภาพ จะทำให้ประชาชนสับสนไม่รู้จะเชื่อใครดี ข้อมูลจึงต้องมีความแม่นยำมากขึ้น 2. ช่องทางในการสื่อสารก็จะต้องมีมากขึ้น  อาศัยระบบสมาร์ทโฟน อย่างเดียวไม่ได้ เพราะชาวบ้านบางคนไม่ม่สมาร์ทโฟน บางบ้านใช้วิทยุ หรือเสียงตามสาย เราจึงต้องใช้ทุกระบบที่เคยมีอยู่มาแจ้งเตือน สิ่งสำคัญในเรื่องเครือข่ายแจ้งเตือน ทั้งภาคประชาชน  ติดตามประเมิน การกลไกแจ้งเตือน

“เบื้องต้น สทนช.ได้จัดประเภทลุ่มน้ำ ทำไปแล้ว  10 ลุ่มน้ำ พื้นที่ไหนเป็นพื้นที่น้ำท่วม พื้นที่ไหนเป็นพื้นที่น้ำนอง พื้นที่ไหนเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ พี่น้องประชาชนต้องเข้าใจว่าท่านปลูกบ้านเรือนอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำแบบไหน  เพื่อที่รับรู้ว่าท่านจะต้องปรับตัวด้วย “ เลขาสทนช.กล่าว

© Copyright @2025 LIDEA. All Rights Reserved.