พิชัย รมว.คลังหวังคิกออฟ “ซื้อหนี้ประชาชนจากแบงก์” ก่อน มิ.ย. 2568 เหตุประเทศรอช้าไม่ได้
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินการมาตรการซื้อหนี้ประชาชนจากธนาคาร จะมีความชัดเจนเมื่อใด หลังนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศว่าจะเกิดขึ้นภายในปี 2568 นี้ ว่า จะพยายามเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการโดยเร็ว เพราะประเทศไทยรอช้าไม่ได้
เมื่อถามย้ำว่า โครงการนั้นจะชัดเจนก่อนเข้าสู่ไตรมาส 3 เดือน ช่วงเดือนมิถุนายนได้หรือไม่ นายพิชัย ระบุว่า ตนก็อยากจะดำเนินการให้เร็วกว่านั้น
ส่วนมาตรการดังกล่าวจะออกมาในรูปแบบซื้อหนี้เสียหรือ NPL เหมือนปี 2540 ช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง หรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า น่าจะประมาณนั้น
เมื่อถามว่า หลังการอภิปรายเสร็จสิ้นร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ จะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้หรือไม่ นายพิชัย ได้แต่เพียงยิ้ม และเดินทางกลับทันที
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ นายพิชัยเปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมใช้เงิน FIDF 20,000-30,000 ล้าน ช่วยกลุ่มหนี้เสียไม่เกิน 100,000 บาท ซี่งมีอยู่ประมาณ 3.5 ล้านคน มีหนี้คงค้างประมาณ 1.24 แสนล้านบาท โดยใช้วิธีซื้อหนี้จากแบงก์มาให้ AMC บริหาร เชื่อหาก 3 ปีชำระได้ปกติ จะสามารถล้างสถานะเครดิตได้
สำหรับผู้ที่จะเข้ามาซื้อหนี้จากแบงก์ นายพิชัยกล่าวว่า กำลังพิจารณาอยู่ อาจจะใช้บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ที่มีอยู่แล้ว หรือจะตั้งใหม่ ต้องพิจารณา แต่อยากทำให้เร็วที่สุด ไม่ให้นานเกิน 3 เดือน 6 เดือน
นายพิชัยกล่าวว่า หลังซื้อหนี้มาแล้ว ต้องดึงลูกหนี้มาเจรจา โดยต้องประกาศว่ารอบนี้ไม่มีการลงโทษ เพราะอยากแก้ปัญหาจริง ๆ ให้เข้ามาคุยกัน ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากเศรษฐกิจที่ไม่ดีมายาวนาน และในกลุ่มนี้จะมี 2 ส่วน คือ กลุ่มที่มีความสามารถชำระในช่วงก่อนโควิด เป็นลูกหนี้ดี กับกลุ่มที่ไม่มีความสามารถ
“อาจจะตั้ง AMC หรือใช้ AMC โครงสร้างเดิม แล้วก็มากำหนดกติกาว่าหนี้กลุ่มนี้จะเจรจาอย่างไร ถ้าผมคิดไปเลยว่าคนกลุ่มนี้สามารถหลุดจากเครดิตบูโรได้ ก็บอกเขาไปว่า ถ้าคุณมาเคลียร์ ผมมีช่องทางให้ ถ้าคุณค้าขายจริง เป็นเด็กดีจริง เราจะเริ่มเติมเงินให้คุณบางส่วน” นายพิชัยกล่าว และว่า
หากแก้ปัญหากลุ่มหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาทนี้ได้ ภาพรวมหนี้ครัวเรือนของประเทศก็จะลดลง เพราะกลุ่มนี้มีจำนวนค่อนข้างมาก โดยสิ้นปี 2568 นี้ คาดว่าหนี้ครัวเรือนจะลดเหลือระดับ 88% และเมื่อแก้ลูกหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาทนี้ได้ หนี้ครัวเรือนก็จะลดลงไปอีก ขณะที่กลุ่มลูกหนี้ที่เกิน 1 แสนบาท ก็เป็นกลุ่มที่ต้องพิจารณาต่อไป โดยต้องดูว่าแบงก์จะปรับโครงสร้างหนี้เองได้อย่างไร