“ชยพล” แฉปฏิบัติการไอโอกองทัพ ตั้งไซเบอร์ทีมโจมตีใส่เป้าหมาย ปูดใช้วิธีเดียวกับแก๊งคอลฯ หลอกล้วงข้อมูลดำเนินคดี แม้แต่นายกฯ ยังโดน “พิเชษฐ์” สั่งเบรกอภิปราย เหตุพาดพิงบุคคลภายนอก จนประท้วงวุ่น
เมื่อเวลา 17.49 น.วันที่ 25 มี.ค.68 นายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชน อภิปรายว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กระทำการเป็นนั่งร้านให้แก่กลุ่มคนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้บิดากลับมามีอำนาจเหมือนอภิสิทธิ์ชน ทรยศประชาชน หันไปสยบยอมอำนาจนิยม ทิ้งการปฏิรูปกองทัพ ปล่อยให้ทหารบางกลุ่มใช้กลไกของรัฐเป็นเครื่องมือแทรกแซงการเมือง และปลุกปั่นสร้างความแตกแยก เซาะกร่อนบ่อนทำลายประชาธิปไตย
นายชยพล กล่าวว่า หนึ่งในกระบวนการที่ทำให้อำนาจของกองทัพอยู่เหนือรัฐบาลพลเรือน คือการปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (ไอโอ) สร้างกระแสและความเชื่อผิดๆ รวมถึงความเกลียดชัง เพื่อทำลายคู่ขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งประชาชนคาดหวังว่าหลังจากขับไล่รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารได้แล้ว ขบวนการเหล่านี้จะหมดสิ้นลง แต่เมื่อ น.ส.แพทองธาร ไปทําดีลกับปีศาจและขึ้นมามีอำนาจ ขบวนการไอโอกลับเติบโตและเลวร้ายยิ่งขึ้น
นายชยพล อธิบายย้อนไปถึงช่วงการเลือกตั้งปี 2566 ทุกเหล่าทัพจัดตั้ง “คณะทำงานความมั่นคงพิเศษ” เพื่อดำเนินการเรื่องข่าวสารในกลุ่มเป้าหมายที่มีความสำคัญ จำนวน 73 เป้าหมาย และสั่งการให้ตั้ง “Cyber Team” เพื่อคอยประสานงานและรับผิดชอบงานไอโอ กระชับให้เกิดการรวมศูนย์ มีการประชุมกันทุกวันพุธหรือวันพฤหัส
นายชยพล กล่าวต่อว่า กลุ่มเป้าหมายจะถูกติดตาม ถูกสอดแนม และถูกขุดคุ้ยข้อมูลส่วนตัว มองหาจุดอ่อนต่างๆ หรือปั้นเรื่องขึ้นมาเป็นข้อมูลด้านมืด เพื่อใช้โจมตีเป้าหมาย และยกตัวอย่างด้วยการเปิดเผยเอกสารที่ระบุถึง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งถูกระบุว่ามีพฤติกรรมต่อต้านสถาบันฯ และรัฐบาล มีรายงานการดำเนินการสร้างภาพจำด้วยข้อมูลด้านมืด เช่น ด้อยค่าเรื่องการหาเสียง ยุให้สร้างความแตกแยกภายในพรรค ไปจนถึงบิดเบือนโจมตีเรื่องส่วนตัวต่างๆ
นายชยพล เปิดภาพแผนผังที่มีการระบุว่ากองทัพมีการแบ่งความรับผิดชอบ ให้แต่ละหน่วยงานล็อกเป้าและโจมตีอย่างต่อเนื่อง ทั้งกอง บัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือรับผิดชอบ กองทัพอากาศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และยังจัดกลุ่มเป้าหมายออกเป็นกลุ่ม 1.ทุนต่างชาติ 2.ผู้ที่มีบทบาทจุดประเด็นในสังคม 3.กลุ่มสร้างกระแสชี้นำแนวคิดเยาวชน 4.กลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักวิชาการและ NGOs นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งกลุ่ม สส.ของพรรคประชาชนจำนวนทั้งหมด 22 คนอีกด้วย
นายชยพล กล่าวว่า เพจที่เป็นเครือข่ายไอโอของกองทัพ จะรายงานประจำสัปดาห์ จะใช้เป็นต้นนํ้าของข้อมูลข่าวสาร โดยยกตัวอย่างช่วงเวลาที่เรื่องคดีตากใบใกล้หมดอายุความ กองทัพได้ติดตามว่ากลุ่มเป้าหมาย พร้อมบรีฟให้โพสต์ตอบโต้ว่า “คดีตากใบ มีความละเอียดอ่อนต้องคำนึงถึงผลกระทบหลายด้าน”
นายชยพล กล่าวยํ้าว่า ไม่ใช่กิจของกองทัพที่จะเอาเวลาราชการ ทรัพยากร และกำลังพล ไปรุมโจมตีใครต่อใครเพื่อโน้มน้าวความคิดเห็นทางการเมือง นี่คือการแทรกแซงการเมือง ปลุกปั่นให้เกลียดชังคนที่ตรวจสอบกองทัพ อยากเห็นการปฏิรูปกองทัพ คนที่รณรงค์เรื่องสิทธิมนุษยชน หรือคนที่ไม่สนับสนุนการรัฐประหาร เป็นผลลัพธ์ของการที่ น.ส.แพทองธาร ทำดีลกับปิศาจ ทำให้ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งขบวนการเหล่านี้ได้
นายชยพล กล่าวว่า มีการโจมตีแบบ Phishing ใช้เหยื่อล่ออย่างเว็บไซต์ปลอม อีเมลหรือข้อความปลอม ส่งให้เป้าหมายหลงเชื่อแล้วงับเหยื่อ ซึ่งแก๊งสแกมเมอร์ก็มักใช้วิธีการเหล่านี้ เพื่อโจรกรรมข้อมูลส่วนตัว แต่กองทัพจะใช้วิธีการนี้เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ล่อให้คนรอบตัวเป้าหมาย พูดคุยในประเด็นเสี่ยงกฎหมาย แคปหน้าจอสร้างหลักฐานนำไปดำเนินคดีต่อ หรือการสวมรอยเป็นคนในพรรคการเมือง เพื่อหลอกถามข้อมูล นอกจากนี้มีการใช้วิธีแบบ Brute Force เพื่อเข้าระบบคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ อีเมล แอปฯ หรือบัญชีโซเชียลมีเดียของเป้าหมาย โดยการเดารหัสผ่านของเป้าหมายสุ่มไปเรื่อยๆ ถือว่าเป็นอาชญากรรมทางไซเบอร์โดยเจ้าหน้าที่รัฐ สิ่งนี้เกิดขึ้นในรัฐบาลพลเรือนของ น.ส.แพทองธาร
นายชยพล กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาปีงบประมาณ 2567 ที่ผ่านมา มีปฏิบัติการทางไซเบอร์แบบนี้ ต่อเป้าหมาย 85 ราย รวมทั้งสิ้น 84,641 แบ่งเป็น Phishing 44,096 ครั้ง Report 10,044 ครั้ง Brute Force 26,231 ครั้ง Spam 4,270 ครั้ง ซึ่งหลังเดือนกันยายน ปี 67 กองทัพก็ยังดำเนินการก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์แบบนี้อย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์
กระทั่งเวลา 19.17 น. นายพิเชษฐ์ ได้สั่งให้ นายชยพล หยุดการอภิปราย เนื่องจากมีการพาดพิงถึงบุคคลภายนอกจำนวนมาก และนำเอกสารลับของทางการราชการมาใช้ตลอดการอภิปราย ซึ่งประธานฯ ได้ทักท้วงว่ามีการเซ็นรับรองเอกสารถูกต้องหรือไม่ หากเกิดความเสียหายขึ้นสภาก็รับไม่ไหว
ทั้งนี้ หลังจากประธานฯ สั่งให้หยุดการอภิปราย ทำให้ สส.พรรคประชาชนหลายคนแสดงความไม่เห็นด้วย พร้อมสอบถามว่า นายชยพล ทำผิดข้อไหน โดย น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน ลุกขึ้นขอร้องประธานฯ ว่า ถ้าใครไม่เจอกับตัวคงไม่รู้ ที่ผ่านมาเราทั้งสองพรรคก็โดนเรื่องแบบนี้ จึงขอให้เพื่อนสมาชิกที่กำลังอภิปรายได้พูดต่อ หากเกิดอะไรขึ้นให้เขารับผิดชอบตัวเอง การให้หยุดอภิปรายเป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรม จึงขอให้ทบทวนคำวินิจฉัย สุดท้าย นายพิเชษฐ์ ได้ให้ นายชยพล อภิปรายต่อเป็นเวลา 10 นาที แต่ไม่ใช้ให้สไลด์ประกอบการอภิปราย
นายชยพล กล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรีต้องทราบว่าเรื่องดังกล่าวผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 หลายมาตรา เช่น มาตรา 5,7,8,10,14 เป็นภัยต่อความมั่นคงของประชาชน แต่หน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของท่านนายกฯ กลับปฏิบัติการเป็นอาชญากรทางไซเบอร์ มีคนบางกลุ่ม ที่ทำตัวเป็นลิงหลอกเจ้า ได้ประโยชน์จากการสร้างความขัดแย้ง บางคนได้ดิบได้ดี หรืออาจถึงขั้นได้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยอาศัยนิยายเรื่องขบวนการล้มล้างสถาบันฯ ที่ปั้นแต่งกันขึ้นมา
นายชยพล กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองฝ่ายไหน ต่างก็ตกเป็นเป้าหมายของไอโอกองทัพได้ เพื่อผลประโยชน์ของนายพลบางกลุ่ม แม้แต่นายกรัฐมนตรีก็ตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีด้วย โดยถูกโพสต์กล่าวหาว่าจะทำให้ประเทศไทยเสียดินแดนให้กับประเทศกัมพูชา โจมตีรัฐบาลเรื่องให้สัญชาติกับคนต่างด้าว บอกว่าเป็นการกระทำที่อกตัญญูต่อบรรพชนชาวไทย โจมตีเรื่องคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรี บอกว่าทั้งๆ ที่พรรคเพื่อไทยก็มี สส.ที่มีประสบการณ์จำนวนมาก ทำไมไม่เอาคนพวกนั้นมาบริหารประเทศ หรือคนกลุ่มนั้นเป็นได้แค่พี่เลี้ยงเด็ก มีติ้กถูกแค่คุณสมบัติเดียว คือการมีพ่อเป็นอดีตนักโทษชาย อีกทั้งโจมตีเรื่องการแต่งตัวไม่เหมาะสมในขณะที่เดินทางไปพบผู้นำต่างประเทศ
นายชยพล กล่าวต่อว่า ยังมีเอกสารของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ที่ประมาณการภัยคุกคามด้านความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 67 ถึงวันที่ 30 กันกันยายน 68 มีการระบุถึง “กลุ่มบุคคลที่แสวงหาผลประโยชน์“ มีรายชื่อได้แก่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี, ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
นอกจากนี้ ยังมีตัวอย่างที่ไอโอกองทัพ เพจชื่อ Evil Digger ทำคอนเทนต์เกี่ยวกับ นายทักษิณ เช่น “ส่องคดีทักษิณ อ้างป่วยเรื้อรังเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ” “ชกมวยอยู่เมืองนอก กลับไทยแล้วป่วย” “ขึ้นชื่อเป็นบุคคลสาธารณะ ทำไมตรวจสอบไม่ได้”
นายชยพล กล่าวทิ้งท้ายว่า นี่คือความเลวร้ายที่ น.ส.แพทองธาร ปล่อยให้กลไกของทัพไม่ถูกกำกับโดยรัฐบาลพลเรือน ปล่อยให้มีมุมมืดใช้ทรัพยากรของกองทัพเข้ามาแทรกแซงการเมือง ประเทศไทยจำเป็นต้องมีกองทัพที่เข้มแข็ง และมีศักยภาพเพียงพอจะเผชิญกับภัยความมั่นคงยุคใหม่ และทหารนํ้าดีส่วนใหญ่ในกองทัพ
พวกเขาก็อยากเห็นกองทัพไทยที่ทันสมัย โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ พวกเขาไม่สบายใจที่มีนายพลบางกลุ่มมักแอบอ้างเรื่องสถาบันฯ เพื่อให้ตัวเองได้ดิบได้ดี ได้อำนาจ ได้งบประมาณ โดยไม่ต้องรับผิดชอบว่าพฤติกรรมการแอบอ้างของตนนั้น จะส่งผลกระทบต่อสถาบันฯ ในระยะยาวอย่างไร หากเรามีนายกฯ ที่มีสำนึกประชาธิปไตย เห็นความสำคัญของการปฏิรูปกองทัพ เราจะมีกองทัพที่ดีต่อชาติ ประชาชน และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข