ดร.ศุภวุฒิ ประธาน สศช. ชี้ไทยเจอขึ้นภาษีแน่ กังวล “สงครามการค้า” ส่งผลกระทบปีนี้ลามถึงปีหน้า มองไทยเผชิญโจทย์ท้าทาย “เศรษฐกิจโตช้า-สูญเสียความสามารถการแข่งขัน-ภาคเกษตรผลผลิตต่ำ-การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ-ขาดแคลนแรงงานและพลังงาน” ชี้ NEXT MOVE การขับเคลื่อนประเทศ ลงทุนในทรัพยากรมนุษย์-ลงทุนเทคโนโลยีทางการเกษตร เพิ่มการแข่งขันด้านภาคการท่องเที่ยวและสุขภาพ
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ “NEXT MOVE Thailand” ในงานสัมมนา “Prachachat Forum : NEXT MOVE Thailand 2025” จัดโดยประชาชาติธุรกิจว่า เชื่อว่าทุกคนรู้กันดีว่าประเทศไทยเผชิญโจทย์ที่มีความท้าทายอยู่อย่างต่อเนื่องก่อนหน้า Trump 2.0 คือ เศรษฐกิจเติบโตช้า สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ภาคเกษตรที่ผลผลิตต่ำ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การขาดแคลนแรงงานและพลังงาน ตลอดจนความจำเป็นที่ต้องลงทุนเพื่อวัดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน
และโจทย์ใหม่ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 2 เมษายน 2568 หรือในอีก 7 วันข้างหน้า กรณีรัฐบาลสหรัฐของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” จะประกาศเก็บภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) จากประเทศต่าง ๆ ซึ่งประเทศไทยอยู่ในบ่วงนี้
แต่ต้องยอมรับว่าขณะนี้มีความไม่แน่นอนสูงมาก เพราะการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 จะเห็นว่าบอร์ดของเฟดยังปรับลดการขยายตัวเศรษฐกิจสหรัฐลงในปี 2568 จากเดิมคาดเติบโต 2.1% ตอนนี้เหลือโต 1.7% หรือลดลงไป 0.4% ขณะที่มีการปรับระดับเงินเฟ้อสหรัฐสูงขึ้น จาก 2.5% เป็น 2.7% และในปี 2569 ยังได้ปรับลด GDP สหรัฐโตน้อยลง จาก 2.1% เหลือโต 1.8% และปรับระดับเงินเฟ้อสหรัฐเป็น 2.2%
“เราได้เห็นแล้วว่าเขาเองก็ยังคิดว่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเขา จะสังเกตเห็นว่าเขาปรับคาดการณ์ GDP ลงเยอะกว่า ซึ่งผมคิดว่าเป็นข้อมูลที่เราต้องมาพิจารณาดูด้วยว่า จริง ๆ ถ้าประเทศที่เป็นประเทศใหญ่สุดในโลก GDP โตดีสุดในโลก เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ เขายังต้องปรับลด GDP ผลกระทบมาถึงเราก็คงค่อนข้างแน่
แต่ที่สำคัญสุดผมคิดว่าการคาดการณ์ของเขาจะดีเกินไปหรือไม่ เพราะตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าความไม่แน่นอนที่ทรัมป์กับทีมสร้างขึ้นมาจะกระทบกับผู้บริโภคและนักลงทุนมากเพียงไหน ซึ่งเป็นโจทย์ที่นักเศรษฐศาสตร์ต้องพยายามประเมินดูต่อไป” ดร.ศุภวุฒิ กล่าว
โดยมาตรการภาษีที่ทรัมป์สัญญาว่าจะประกาศในวันที่ 2 เมษายน 2568 จะมีผลอย่างไรนั้น ถ้าย้อนกลับไปดูช่วงปี 1930 ตอนที่สหรัฐผ่านกฎหมาย Smoot-Hawley และขึ้นภาษีศุลกากรโดยรวม 20% ประเทศคู่ค้าหลัก ๆ ตอบโต้ แต่นโยบายการเงินช่วงนั้นยังไม่ได้ผ่อนคลายเพียงพอ (ไม่ได้ตอบสนอง) ทำให้ผลกระทบจากนโยบายกีดกันการค้าครั้งนั้น กดดันให้มูลค่าการค้าโลกลดลงไปมากถึง 2 ใน 3 หรือลดลง 60% ถามว่าผลกระทบรอบนี้มองคงไม่ถึง 60% เพราะนโยบายการเงินและปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ดีกว่าช่วงนั้นมาก
แต่ต้องยอมรับว่าเป็นบทเรียนจาก 95 ปีที่แล้ว โดยสิ่งที่น่าเป็นห่วงผลกระทบจากนี้จะเป็นสิ่งที่ไทยต้องเผชิญ ซึ่งดีไม่ดีจะมีผลกระทบทั้งปีนี้และปีหน้า ดังนั้นสิ่งที่ไทยต้องพยายาม NEXT MOVE คือการจัดการปัญหาตรงนี้ให้ได้ดีมากที่สุด
ดร.ศุภวุฒิ กล่าวต่อว่า สำหรับกรอบการขึ้นภาษีของทรัมป์ ประกาศเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568 ว่าประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐถือว่าเป็นประเทศที่เอาเปรียบสหรัฐ และมีคำสั่งที่สองต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ว่า ให้เก็บภาษีต่างตอบแทนโดยไปให้คำนวณว่าประเทศคู่ค้าต่าง ๆ มีการเก็บภาษีจากสหรัฐมากกว่าเท่าไรและควรจะเก็บตอบโต้เท่าไร ตรงนี้มีความไม่แน่นอนสูง
แต่เท่าที่ไปสังเกต ดูเหมือนเป็นแนวคิดของ นายปีเตอร์ นาวาร์โร ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการค้าของทรัมป์ ได้เขียนบทความลงในเอกสารที่ใช้เป็น Agenda 2025 ซึ่งในเอกสารชิ้นนี้มีความเป็นห่วงอยู่คือ มีชื่อประเทศไทยอยู่ในนั้นในหลาย ๆ รูปแบบ เพราะฉะนั้นสาระสำคัญคือสหรัฐได้มีการคำนวณการตอบโต้โดยใช้ข้อมูลและแบบจำลองไว้ก่อนแล้วว่า ถ้าเก็บภาษีประเทศไทยเท่าที่ประเทศไทยจัดเก็บภาษีสหรัฐ สหรัฐจะลดการขาดดุลการค้าเท่าไร และสหรัฐยังคำนวณได้ว่าจะลดขาดดุลการค้าเท่าไรถ้าประเทศไทยลดภาษีเท่ากับสหรัฐ
“พูดง่าย ๆ สหรัฐเขาคิดมาเยอะแล้ว อย่านึกว่าเขายังไม่ได้คิด เพียงแต่ว่าทรัมป์จะเคาะอย่างไรเท่านั้นเอง ตอนนี้ยอมรับว่าไม่รู้ว่าจะเคาะอย่างไร แต่มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเคาะในเชิงที่จะเก็บภาษีประเทศไทยในระดับหนึ่งสำหรับทุกสินค้า และให้ไทยเข้ามาเจรจาว่าจะเอาอย่างไร โดยที่ นายปีเตอร์ นาวาร์โร เขาดูเหมือนอยากจะให้สหรัฐเก็บภาษีประเทศไทยมากขึ้นและมากกว่าให้ไทยลดภาษีลงไปเท่ากับสหรัฐ เพราะเขาจะได้เงินมากกว่าจากการคำนวณของเขา เพราะมีความสำคัญคือ เขาต้องการจะเอาเงินภาษีที่เก็บเพิ่มขึ้นมาลดการขาดดุลงบประมาณ” ดร.ศุภวุฒิ กล่าวและว่า
นี่คือความเป็นห่วงของผมในเชิงความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในระยะข้างหน้าจากนโยบายการค้าของสหรัฐ ซึ่งคงทราบว่าการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนประมาณเกือบ 20% ของการส่งออกทั้งหมด หรือคิดเป็น 9% ของ GDP ประเทศไทย
ถัดมาในส่วนปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ มองว่าก็มีความปั่นป่วนอยู่ไม่น้อย เห็นนโยบายของทรัมป์ที่ดูเหมือนจะลงโทษประเทศพันธมิตรดั้งเดิม เช่น แคนาดา, เม็กซิโก, เดนมาร์ก และสมาชิกนาโต้ รวมทั้งยูเครน แต่คู่ปรปักษ์อย่างรัสเซียดูเหมือนจะได้รับความอะลุ่มอล่วยมากขึ้น ตรงนี้แน่นอนว่าจะส่งผลกระทบกับประเทศในยุโรปที่ต้องลดการใช้ทรัพยากรเพื่อการขยายตัวเศรษฐกิจ มาทุ่มเททรัพยากรด้านความมั่นคงและการค้า
ซึ่งตรงนี้สะท้อนแนวคิดคนฝ่ายขวาของอเมริกาซึ่งอยู่ในทีมของทรัมป์ คำถามคือสหรัฐจะมากดดันฝั่งเอเชียและจีนด้วยหรือไม่ และประเทศไทยจะรับมือเรื่องภูมิรัฐศาสตร์อย่างไร จะวางตัวอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยต้องนำไปไตร่ตรองต่อไป
ดร.ศุภวุฒิ กล่าวต่อว่า ถัดมาโจทย์เดิมที่ประเทศไทยยังไม่ได้รับการแก้ไขคือ ปัญหาเศรษฐกิจไทยขยายตัวในอัตราที่ช้าลงไปเรื่อย ๆ และปัญหาระยะยาวคือปัญหาเรื่องอุปทาน พูดง่าย ๆ คือศักยภาพด้านการผลิตของไทยจะขยายไปได้อย่างไร และปัญหาการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เพราะตอนนี้คนไทยอายุ 60 ปีขึ้นไปมีอยู่ 12.5 ล้านคน และมีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่มีงานทำ และในกลุ่มนี้ 45% ไม่มีเงินออมเลย ที่เหลือ 55% มีเเงินออมเฉลี่ยไม่ถึง 1 แสนบาท คนกลุ่มนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 18 ล้านคน ในอีก 15 ปีข้างหน้า จึงเป็นอีกความกังวลหนึ่งของประเทศไทย
อย่างไรก็ดีผลของงานวิจัยระบุว่าการจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัว พบว่ามาจากการขยายตัวของภาคแรงงานประมาณ 15-30% มาจากขยายตัวเพราะการลงทุนประมาณ 20-35% แต่ที่น่าสนใจส่วนที่เหลืออีก 40-60% ตรงนี้คือเรื่องเทคโนโลยี ซึ่งจะมีความสำคัญอย่างมากต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ ดังนั้นประเทศไทยต้องไปมุ่งมั่นเร่งพัฒนาคุณภาพของคนและเทคโนโลยี ในขณะที่จะต้องเผชิญปัญหาความท้าทายอย่างมากจากปริมาณแรงงานที่มีแต่จะลดลง
“การขับเคลื่อนประเทศไทย นอกจากการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์แล้ว ต้องยอมรับว่าในทางเศรษฐกิจต้องลงทุนเทคโนโลยีทางการเกษตรด้วย เพราะอย่างที่ทราบว่าผลผลิตประมาณ 8.6% ของ GDP ใช้แรงงาน 30% ของ GDP ใช้ที่ดิน 45% ของที่ดินทั้งหมด และใช้น้ำเกือบ 70% ของทรัพยากรน้ำทั้งหหมด แต่ได้ผลผลิตแค่ 8.6% เท่านั้น
โดยปัจจุบันในด้านการแข่งขันการเกษตรเราเป็นที่ 5 ส่งออกสินค้าเกษตรไปจีน เรามีศักยภาพในเชิงเปรียบเทียบในด้านอาหารและสินค้าเกษตร ดังนั้นต้องเร่งต่อยอด เพราะถ้าไปแข่งภาคอุตสาหกรรมคงยาก แต่นอกจากภาคเกษตรแล้วเรายังสามารถแข่งขันด้านภาคการท่องเที่ยวและสุขภาพได้ (Medical Tourism) จึงต้องมุ่งทำอย่างต่อเนื่อง“ ดร.ศุภวุฒิ กล่าวทิ้งท้าย