ทนายอั๋น ยื่นหนังสืออธิบดี DSI ขอส่งเรื่องเปิดหีบเลือก ส.ว.67 ครั้งระดับประเทศ อธิบดีดีเอสไอแย้มคณะพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกพยานคดีฮั้ว ส.ว.แน่นอน เน้นกลุ่มที่มีเส้นเงินเกี่ยวข้องชัดเจน แล้วค่อยขยายผลไปยังผู้เชื่อมโยงรายอื่น เพื่อทำสอบสวนเรื่องฟอกเงิน
เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น บุรีรัมย์ เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อขอให้พิจารณาส่งเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทำการเปิดหีบเลือกตั้งและกล้องวงจรปิดในวันเลือกตั้งรอบประเทศ เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.67 โดยมี นายสมเกียรติ เพชรประดับ ผอ.ส่วนพิจารณาสำนวนร้องทุกข์ กองบริหารคดีพิเศษ เป็นผู้แทนรับเรื่อง
นายภัทรพงศ์เปิดเผยว่า ตามที่เมื่อวันที่ 18 มี.ค.68 กกต.มีมติแต่งตั้งข้าราชการจากกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พร้อมแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนตามระเบียบว่าด้วยการสืบสวนไต่สวน 7 ราย มีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับประเทศเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2567 อีกทั้งคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ได้มีมติรับกรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษในฐานความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงินแล้วนั้น
นายภัทรพงศ์กล่าวว่า ในฐานะประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งและในฐานะที่ได้ติดตามกรณีดังกล่าวมาโดยตลอด ทั้งในส่วนขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่มีลักษณะการฮั้วการเลือกตั้ง ส.ว.ที่ได้ยื่นต่อ กกต. และขอให้ดีเอสไอรับกรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ จึงเห็นว่าเกิดข้อเคลือบแคลงสงสัยเกี่ยวกับผลการเลือกตั้ง ในประเด็นที่เป็นสาระสำคัญหลายประการ เช่น คะแนนของกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม มีลักษณะเกาะกลุ่มและเหมือนกันทั้ง 20 กลุ่มอาชีพ ผู้สมัครไม่ลงคะแนนให้ตนเอง เป็นต้น สอดคล้องกับโพยที่ค้นพบในที่เกิดเหตุ จึงเห็นสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องคลายข้อสงสัยด้วยการเปิดหีบลงคะแนนเพื่อให้เกิดความกระจ่าง ทั้งจะเกิดประโยชน์ต่อกระบวนการไต่สวนสืบสวนในคดีนี้
“จึงขอให้ทำการเปิดกล้องวงจรปิดในวันเลือกตั้งระดับประเทศ 26 มิ.ย.67 เพื่อให้เกิดความกระจ่างว่าการเลือก ส.ว.ว่าเกิดการทุจริตโดยกลุ่มบุคคล ซึ่งเป็นผู้สมัคร ส.ว.ที่ผ่านเข้ามาในรอบดังกล่าวหรือไม่ รวมถึงมีเจ้าหน้าที่ของ กกต.รู้เห็นเป็นใจ หรือร่วมในกระบวนการด้วยหรือไม่อย่างไร จึงขอให้คณะกรรมการได้พิจารณาเสนอให้ กกต.การเปิดเลือกตั้งทุกใบ ทุกกลุ่มอาชีพ และทำการเปิดกล้องวงจรปิดในวันเลือกตั้งรอบประเทศด้วย” นายภัทรพงศ์กล่าว
นายภัทรพงศ์เปิดเผยอีกว่า ที่ผ่านมา กกต.มีการแต่งตั้ง 3 เจ้าหน้าที่ดีเอสไอไปร่วมเป็นกรรมการสืบสวนและไต่สวนกับ กกต. เรียกว่าคณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวน จึงหวังให้มีการส่งเรื่องการขอเปิดหีบลงคะแนน และเปิดกล้องวงจรปิดจากคณะอนุกรรมการ 7 รายนี้ ไปยังคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของ กกต. อย่างไรก็ตาม การขอเปิดหีบลงคะแนนและเปิดกล้องวงจรปิดไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจศาล แต่สามารถใช้อำนาจของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของ กกต.ดำเนินการได้
นายภัทรพงศ์กล่าวว่า ที่ผ่านมาพบว่ามีการร้องขอกว่า 10 คำร้อง ซึ่ง 1 ในนั้นคือคำร้องของคณะ ส.ว.สำรอง แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจาก กกต. แต่ตนมองว่าตอนนี้บริบทมันเปลี่ยนไปแล้ว เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ของดีเอสไอ 3 ราย ได้ไปเป็นคณะอนุกรรมการดังกล่าว ถึงแม้ว่าจะเป็นเสียงข้างน้อย แต่ถ้าหากมีการประชุมหารือ มันก็จะไม่สามารถทัดทานอะไรได้ เพราะมันคือประเด็นข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ต้องพิสูจน์ ทั้งนี้ ตนว่าตอนนี้ กกต.ยังคงมีอำนาจในการรวบรวมพยานหลักฐานที่ทำได้ ทำสำนวน จึงไม่ต้องรอคำสั่งศาล
สำหรับสาเหตุที่มองว่าควรมีการเปิดหีบลงคะแนนนั้น นายภัทรพงศ์เปิดเผยว่า มีการตั้งข้อสงสัยว่าทำไมกลุ่มบุคคลจึงเป็นคะแนนเกาะกลุ่ม เราสังเกตเห็นลำดับที่ 50-67 มีคะแนนเยอะ ขณะที่ลำดับแรกๆ เช่น ลำดับที่ 1-4 คะแนนน้อยมาก อีกทั้งคนที่เข้าไปในรอบเช้าของการเลือก ส.ว.ระดับประเทศ กว่าจะถึงรอบสุดท้ายที่เสร็จสิ้นประมาณ ตี 4 ตี 5 กลับมีการโหวต 0 โหวตโน ไม่โหวตให้ตัวเองเยอะมาก และแต่ละ 20 กลุ่มอาชีพก็เป็นเหมือนกันหมด ส่วนคนที่ได้คะแนนได้ลำดับที่ 6 ไปจนถึงลำดับที่ 1 ไม่แสดงอาการท่าทางดีใจเมื่อมีการขานผลคะแนน ไหนจะประเด็นเรื่องการเจอโพยในห้องน้ำ
“ดังนั้น หากมีการเปิดหีบออกมามันจะเป็นคะแนนที่คำนวณได้โดยหลักคณิตศาสตร์ ทำให้เห็นภาพชัดเจน ซึ่งมันทำให้รู้ว่าผู้สมัครรายใดเชื่อมโยงกับผู้อื่นอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ ผมอยากให้มีการนำหีบลงคะแนนทั้ง 20 หีบมาวางเรียงต่อกันแล้วเปิดหีบต่อหน้าสักขีพยาน การนำใบคะแนนออกมาดูมันก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าใบลงคะแนนนั้นเป็นใครกา มันเป็นความลับ มันไม่ขัดต่อกฎหมายใด” นายภัทรพงศ์ระบุ
นายภัทรพงศ์ระบุอีกว่า นอกจากจะมายื่นเอกสารกับดีเอสไอแล้ว จะเดินทางไปยื่นกับ กกต.ด้วย โดยยื่นให้ประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนสืบสวนคดีฮั้ว ส.ว. ดังนั้น เชื่อว่าในการประชุมร่วมกันระหว่างดีเอสไอและ กกต.ของชุดคณะอนุกรรมการ ครั้งที่ 2 จะมีการนำหารือเรื่องการเปิดหีบลงคะแนนและภาพจากกล้องวงจรปิดตามที่ตนได้มาร้องขอวันนี้ต่อไป
ขณะที่นายธนทัต ประเสริฐนู อดีตผู้สมัคร ส.ว.ระดับประเทศ หมายเลข 4 กลุ่ม 18 (กลุ่มสื่อสารมวลชน ผู้สร้างสรรค์วรรณกรรม) อธิบายตัวอย่างบัตรลงคะแนนของการเลือก ส.ว. ระดับประเทศ โดยโชว์เอกสารจำลองบัตรลงคะแนนว่า ยกตัวอย่างการลงคะแนนการเลือก ส.ว.ระดับประเทศ กลุ่ม 18 พบว่ามีการกาเรียงเบอร์เป็นเซตเดียวกัน 10 หมายเลข และพบว่ามีการกาเหมือนกันกว่า 30 ใบ เหมือนมีการเตี๊ยมกันไว้ ซึ่งเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้อยู่ที่ 1 ต่อ 5,056 ล้านล้านเปอร์เซ็นต์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ได้เดินออกจากอาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยมี พ.ต.ต.ยุทธนา อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ท.อนุรักษ์ โรจนนิรันดร์กิจ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ พ.ต.ต.จตุพล บงกชมาศ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้การต้อนรับ
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถาม พ.ต.อ.ทวีถึงการเดินทางเข้าอาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษมีข้อกำชับสั่งการใดๆ ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือไม่นั้น พ.ต.อ.ทวีกล่าวสั้นๆ ว่า ไม่มีเรื่องอะไร ตนมาขอบคุณที่ไปเฝ้าการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ส่วนเรื่องความคืบหน้าคดีฮั้ว ส.ว.ขอให้สอบถามอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษแทน
พ.ต.ต.ยุทธนาเปิดเผยสั้นๆ ว่า สำหรับการประชุมความคืบหน้าคดีฮั้ว ส.ว.จะยังไม่เกิดขึ้นในตอนนี้ เพราะล่าสุดตนได้มอบหมายงานและแบ่งงานให้กับเจ้าหน้าที่ไปดำเนินการ หลังจากนี้จะมีการออกหมายเรียกกลุ่มพยานมาสอบสวนปากคำแน่นอน ส่วนพยานกลุ่มแรกจะเป็นใครนั้น ขอให้คณะพนักงานสอบสวนได้ดูรายละเอียดก่อน โดยจะเน้นไปที่กลุ่มบุคคลที่มีเส้นทางการเงินเกี่ยวข้อง เนื่องจากดีเอสไอรับดำเนินการในคดีฟอกเงินทางอาญา จึงต้องดูเรื่องเส้นทางการเงินก่อน ดังนั้น หากขยายพบไปว่ามีบุคคลใดเข้ามาเกี่ยวข้องก็ค่อยดำเนินการไปตามขั้นตอน