ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมการเงินทั่วโลก พร้อมเปิดโอกาสใหม่สำหรับประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ EBC Financial Group (EBC) ได้วิเคราะห์แนวโน้มดังกล่าวพร้อมนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับบทบาทของ AI ในการปฏิวัติวงการเงินทั่วโลก
AI ได้พลิกโฉมภาคการเงินด้วยการขับเคลื่อนการเทรดแบบ High Frequency Trading ที่ใช้อัลกอริทึมในการประเมินความเสี่ยงและวิเคราะห์ตลาดแบบเรียลไทม์ เทคโนโลยีดังกล่าวช่วยยกระดับประสิทธิภาพตลาด แต่ในขณะเดียวกันก็นำมาซึ่งความท้าทายใหม่ๆ
จากการเสวนาที่ World Economic Forum ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนว่ากฎระเบียบเกี่ยวกับ AI ที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งด้านการค้าและส่งผลกระทบต่อธุรกรรมข้ามพรมแดน ขณะที่องค์การการค้าโลก (WTO) กำลังเร่งดำเนินการเพื่อประสานแนวทางกำกับดูแล AI ให้สอดคล้องกันทั่วโลก
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า แม้ AI จะช่วยให้ตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ก็อาจส่งผลให้เกิดความผันผวนรุนแรงขึ้นในช่วงเศรษฐกิจตึงเครียด ท่ามกลางการหารือด้านกฎระเบียบที่ดำเนินไป ผู้เล่นในตลาดรวมถึงโบรกเกอร์จำเป็นต้องปรับตัวให้สอดรับกับแนวทางการกำกับดูแลที่เปลี่ยนแปลงไป
ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่การเป็นชาติที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วย AI ผ่านการลงทุนในโครงการวิจัย การสนับสนุนสตาร์ทอัพด้าน AI และการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเทคโนโลยี รัฐบาลไทยตั้งเป้าการขยายตัวทางเศรษฐกิจดิจิทัลให้มีสัดส่วน 30% ของ GDP ภายในปี 2030
Google ได้ประกาศลงทุนมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 36,000 ล้านบาท) ในประเทศไทย โดยเม็ดเงินดังกล่าวจะถูกนำไปใช้สร้างศูนย์ข้อมูลแห่งแรกของ Google ในจังหวัดชลบุรี และขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านคลาวด์
นโยบาย Thailand 4.0 และโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนา AI โดยเฉพาะในด้านการผลิตระบบอัตโนมัติ การวิเคราะห์ข้อมูล และการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ
Grok AI กำลังเปลี่ยนโฉมการซื้อขายด้วยเทคนิค Deep Learning ขั้นสูงในการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่แบบเรียลไทม์ ระบบดังกล่าวสามารถวิเคราะห์แนวโน้มตลาด ตรวจจับความผิดปกติ และพยากรณ์แนวโน้มด้วยความแม่นยำที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ระบบโอเพ่นซอร์สของ Grok AI ทำให้เกิดข้อถกเถียงทั้งในแง่ศักยภาพและความเสี่ยง ประเทศไทยกำลังก้าวไปสู่การบูรณาการ AI อย่างมีความรับผิดชอบ และมีแนวโน้มที่จะพัฒนากฎเกณฑ์เพื่อรับรองว่าการใช้ AI จะช่วยเสริมเสถียรภาพทางการเงินและขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของการกำกับดูแล AI อย่างเป็นระบบ ด้วยร่างกฎหมายสำคัญสองฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชกฤษฎีกาการประกอบธุรกิจบริการที่ใช้งานระบบปัญญาประดิษฐ์ และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์แห่งประเทศไทย
นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ได้เน้นย้ำบทบาทสำคัญของ AI ในการพัฒนาอุตสาหกรรมและการค้า ขณะที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) กำลังพัฒนา AI Roadmap สำหรับภาคการผลิต เพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ประเทศไทยยังตั้งเป้าที่จะเป็นศูนย์กลางการฝึกอบรม AI ในระดับภูมิภาค โดยทำงานร่วมกับ UNESCO เพื่อช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนาสร้างหลักจริยธรรมในการใช้ AI ขณะเดียวกัน รัฐบาลกำลังขออนุมัติกรอบการกำกับดูแล AI สำหรับหน่วยงานภาครัฐ
เดวิด บาร์เร็ตต์ (David Barrett) ซีอีโอของ EBC Financial Group (UK) Ltd. ได้กล่าวถึงบทบาทของ AI ว่า “ภาคเทคโนโลยีกำลังเร่งแข่งขันในยุค AI ด้วยการลงทุนอย่างหนักในศูนย์ข้อมูล บุคลากร และเทคโนโลยีชิปขั้นสูง” พร้อมเน้นย้ำว่า AI ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการนำไปใช้ในตลาดการเงิน
EBC Financial Group เชื่อว่าด้วยการพัฒนา AI อย่างต่อเนื่อง อุตสาหกรรมการเงินจะสามารถปรับตัวและสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการให้บริการลูกค้า และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก
นอกเหนือจากการซื้อขายหลักทรัพย์แล้ว AI ยังมีอิทธิพลอย่างมากต่อบริการทางการเงินและการดำเนินงานของโบรกเกอร์ โดยเฉพาะในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า การตรวจจับการทุจริต และการติดตามการปฏิบัติตามกฎระเบียบแบบอัตโนมัติ
ท่ามกลางกรอบนโยบาย AI ของไทยที่กำลังพัฒนา ถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับสถาบันการเงินและภาคธุรกิจในการสร้างนวัตกรรม แต่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูล ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ และความโปร่งใสของอัลกอริทึม
ด้วยแนวทางการพัฒนา AI ที่ชัดเจนและความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ประเทศไทยกำลังก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นสำคัญในเวที AI ระดับโลก พร้อมสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและการกำกับดูแลเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน